เช็กให้ชัวร์! 91, 95 กับ E20 ผสมกันได้ไหม เติมน้ำมันผิดต้องทำอย่างไร

เช็กให้ชัวร์! 91, 95 กับ E20 ผสมกันได้ไหม เติมน้ำมันผิดต้องทำอย่างไร
คนรักรถควรรู้!
  • น้ำมัน 91 เหมาะกับเครื่องยนต์ทั่วไป ราคาประหยัด เหมาะสำหรับรถรุ่นเก่า น้ำมัน 95 เหมาะกับเครื่องยนต์กำลังอัดสูง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการจุดระเบิดก่อนเวลา ส่วน E20 ผสมเอทานอล 20% ช่วยลดมลพิษและราคาประหยัด แต่ต้องใช้กับรถที่รองรับเท่านั้น
  • เบนซิน 91 และ 95 สามารถผสมกันได้ แต่หากเป็นน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอล เช่น E20 ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ารถรองรับหรือไม่ เพราะเอทานอลอาจทำปฏิกิริยากับชิ้นส่วนเครื่องยนต์ หากไม่แน่ใจควรหลีกเลี่ยงการผสมน้ำมันต่างประเภท และหากเติมผิด ควรหยุดใช้รถทันทีและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
  • หากเติมน้ำมันผิดประเภท ควรหยุดสตาร์ทรถทันทีเพื่อลดความเสียหาย ไม่ควรขับต่อหรือลองสตาร์ทซ้ำ จากนั้นติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญหรือศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบและระบายน้ำมันออกจากระบบอย่างถูกต้อง ห้ามพยายามแก้ไขเองหากไม่มีความรู้ เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงขึ้นได้
  • การติดฟิล์มกรองแสงช่วยลดความร้อนจากแสงแดด ทำให้ห้องโดยสารเย็นลงเร็วขึ้น ระบบปรับอากาศทำงานน้อยลง ลดภาระเครื่องยนต์ และช่วยประหยัดน้ำมัน ในทางกลับกันรถที่ไม่ติดฟิล์มกรองแสงจะทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น เครื่องยนต์ใช้พลังงานมากขึ้น และสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่านั่นเอง

หลายคนอาจเคยเจอกับสถานการณ์ที่ต้องรีบเติมน้ำมัน แล้วเผลอเติมผิดประเภทจนเกิดความกังวลใจว่าน้ำมัน 91 95 E20 สามารถผสมกันได้หรือไม่? อีกทั้งยังมีคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับอัตราส่วนน้ำมัน E20 และการผสมน้ำมันอย่างถูกต้อง และหลายๆ คนอาจสงสัยว่า 91 กับ 95 ผสมกันได้ไหม เติม E20 ผสม 95 ได้ไหม หรือ E20 กับ 95 ต่างกันอย่างไร และถ้าเผลอเติมน้ำมันผิดจาก 91 เป็น 95 จะต้องรับมืออย่างไร ในบทความนี้มีคำตอบ 

ความแตกต่างระหว่างน้ำมัน 91, 95 และ E20 

ความแตกต่างระหว่างน้ำมัน 91, 95 และ E20 

หลายคนอาจสงสัยว่าน้ำมัน 91 95 และ E20 แตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกใช้น้ำมันประเภทไหนให้เหมาะกับรถของคุณ? เพราะน้ำมันแต่ละประเภทมีส่วนประกอบและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์และอัตราการประหยัดน้ำมัน  โดยความแตกต่างระหว่างน้ำมัน 91 95 E20 นั้นมีดังนี้

91

น้ำมันเบนซิน 91 เป็นเชื้อเพลิงที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะมีราคาประหยัดและเหมาะกับรถยนต์ที่ไม่ได้ต้องการกำลังอัดสูงมากนัก ซึ่งน้ำมัน 91 มีข้อดี-ข้อเสียดังต่อไปนี้

ข้อดี

น้ำมัน 91 ยังมีข้อดีหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องของความประหยัดและการใช้งานที่ยืดหยุ่น นอกจากนี้น้ำมัน 91 ยังหาซื้อได้ง่ายตามปั๊มน้ำมันทั่วประเทศ และมีความสามารถในการเผาไหม้ได้อย่างดี ลดการสะสมของเขม่าและสิ่งสกปรกในห้องเผาไหม้ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ข้อเสีย

น้ำมัน 91 มีค่าออกเทนต่ำกว่าน้ำมัน 95 ซึ่งอาจทำให้เกิดการจุดระเบิดก่อนเวลาในเครื่องยนต์ที่ต้องการค่าออกเทนสูง ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดการสึกหรอของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์เร็วขึ้นหากใช้งานในระยะยาว นอกจากนี้ กรณีเติมน้ำมันผิด 91 เป็น 95 อาจส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติได้หากระบบไม่รองรับ

95

น้ำมันเบนซิน 95 เป็นอีกหนึ่งเชื้อเพลิงที่ได้รับความนิยมสำหรับรถยนต์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มรถที่ต้องการสมรรถนะสูงและมีอัตราการอัดภายในเครื่องยนต์สูงกว่า เพราะน้ำมัน 95 มีค่าออกเทนสูงถึง 95 ทำให้สามารถทนต่อการจุดระเบิดก่อนเวลาได้ดี โดยมีข้อดี-ข้อเสียดังต่อไปนี้

ข้อดี

น้ำมัน 95 มีข้อดีที่โดดเด่นกว่าหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องของการเผาไหม้ที่สมบูรณ์และการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ ด้วยค่าออกเทนที่สูงถึง 95 จึงทำให้น้ำมันชนิดนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการจุดระเบิดก่อนเวลา นอกจากนี้ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ ลดการสึกหรอของชิ้นส่วนภายใน อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยมลพิษทางอากาศเพราะมีกระบวนการเผาไหม้ที่สมบูรณ์อีกด้วย

ข้อเสีย

น้ำมัน 95 มีราคาสูงกว่าน้ำมันทั่วไป ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันเพิ่มขึ้น เช่น รถยนต์รุ่นเก่าที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับน้ำมันที่มีค่าออกเทนสูง อาจไม่สามารถใช้น้ำมัน 95 ได้เต็มที่ นอกจากนี้ ในบางกรณีหากเครื่องยนต์ไม่ได้ถูกปรับจูนอย่างเหมาะสม อาจทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์จนส่งผลให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้นได้เช่นกัน

E20

อัตราส่วนน้ำมัน E20 มีส่วนผสมของเอทานอลประมาณ 20% ผสมกับน้ำมันเบนซิน 80% ซึ่งถูกพัฒนาเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันจากฟอสซิลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยมักระบุไว้ชัดเจนในคู่มือรถยนต์ และมีข้อดี-ข้อเสียดังนี้

ข้อดี

น้ำมัน E20 เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมีส่วนผสมของเอทานอลซึ่งเป็นพลังงานทดแทนจากพืช ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และมลพิษทางอากาศ หลายคนอาจสงสัยว่า เติม E20 ผสม 95 ได้ไหม ซึ่งคำตอบคือควรหลีกเลี่ยงหากรถยนต์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับการใช้งานน้ำมันทั้งสองประเภทนี้ร่วมกัน เพื่อป้องกันความเสียหายต่อเครื่องยนต์

ข้อเสีย

น้ำมัน E20 มีข้อจำกัดบางประการที่ควรพิจารณา เพราะรถยนต์รุ่นที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับน้ำมันที่มีส่วนผสมเอทานอลอาจเกิดการกัดกร่อนในระบบเชื้อเพลิง นอกจากนี้ เอทานอลยังดูดซับน้ำได้ง่ายซึ่งทำให้เกิดการแยกชั้นในถังเชื้อเพลิง ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานผิดปกติ อีกทั้งยังอาจทำให้ชิ้นส่วนภายในสึกหรอเร็วขึ้น 

น้ำมันประเภทไหนผสมกันได้บ้าง?

น้ำมันประเภทไหนผสมกันได้บ้าง?

หลายคนสงสัยว่าน้ำมันประเภทต่างๆ สามารถผสมกันได้หรือไม่ เช่น เติม E20 ผสม 95 ได้ไหม หรือ 91 กับ 95 ผสมกันได้ไหม คำถามนี้มักเกิดขึ้นจากการเติมน้ำมันผิดประเภท หรือขาดแคลนน้ำมันบางชนิด อย่างไรก็ตาม การผสมน้ำมันบางประเภทอาจไม่ก่อปัญหาใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันบางกรณีอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้เช่นกัน โดยน้ำมันที่สามารถผสมกันได้มีดังต่อไปนี้ 

  • น้ำมันเบนซิน 91 และ 95 สามารถผสมกันได้ เพราะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน แม้ค่าออกเทนจะแตกต่างกัน แต่จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อเครื่องยนต์
  • ควรผสม 91 95 และ E20 เฉพาะในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น และต้องมั่นใจว่าเครื่องยนต์รองรับน้ำมัน E20 ได้ด้วย
จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำมันประเภทไหนผสมกันได้บ้าง?

จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำมันประเภทไหนผสมกันได้บ้าง?

การเติมน้ำมันผิดประเภทหรือการผสมเชื้อเพลิงต่างชนิดกันอาจนำไปสู่ปัญหาต่อระบบเชื้อเพลิงและเครื่องยนต์ และแน่นอนว่ายังมีน้ำมันที่สามารถผสมกันได้ทั้ง 91 95 และ E20 ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ ดังนี้

  • สามารถตรวจสอบได้จากคู่มือรถยนต์
  • น้ำมันที่มีค่าออกเทนใกล้เคียงกัน เช่น 91 และ 95 สามารถผสมกันได้
  • ตรวจสอบว่ารถของคุณรองรับน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลหรือไม่ เช่น E20

เติมน้ำมันเบนซินผสมดีเซล จะเป็นไรไหม?

หากเผลอเติมน้ำมันผิดเป็นเบนซินผสมกับดีเซล อาจส่งผลให้ระบบเชื้อเพลิงเสียหาย เพราะน้ำมันดีเซลมีคุณสมบัติหล่อลื่นสูง ในขณะที่เบนซินจุดติดไฟได้ง่าย การผสมกันอาจทำให้เครื่องยนต์เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิดความร้อนสะสม เครื่องยนต์เกิดการสั่นสะเทือน ทำงานผิดปกติ หรือเครื่องยนต์ดับกลางทาง 

ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ควรหยุดใช้รถทันที และติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อระบายน้ำมันออกจากระบบอย่างถูกต้องเพื่อป้องกันความเสียหายร้ายแรงต่อเครื่องยนต์

เติมน้ำมันผิดประเภทต้องทำอย่างไร?

เติมน้ำมันผิดประเภทต้องทำอย่างไร?

การเติมน้ำมันผิดประเภทเป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการเติมน้ำมันดีเซลแทนน้ำมันเบนซิน หรือเติมน้ำมันผิด 91 เป็น 95 ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ในหัวข้อนี้เราจะมาแนะนำขั้นตอนการรับมือเมื่อคุณเติมน้ำมันผิดประเภทว่าต้องทำอย่างไร ทั้งในกรณีสตาร์ทรถไปแล้ว และกรณีที่ยังไม่สตาร์ทรถ 

กรณีสตาร์ทรถไปแล้ว

หลายคนอาจตกใจและไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรหากสตาร์ทรถไปแล้วหลังจากเติมน้ำมันผิดประเภท กรณีนี้อาจทำให้ความเสียหายลุกลามไปยังระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อเกิดการเติมน้ำมันผิดประเภทแต่สตาร์ทรถไปแล้ว สิ่งที่ควรทำมีดังนี้

  1. เมื่อรถมีอาการสั่น กระตุก และดับ ไม่ควรพยายามสตาร์ทรถอีกครั้ง เพราะจะยิ่งทำให้เครื่องยนต์เสียหายเพิ่มเติมได้
  2. ควรรีบติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญให้มาตรวจสอบทันทีเพื่อความปลอดภัย

กรณียังไม่สตาร์ทรถ

การเติมน้ำมันผิดประเภทแต่ยังไม่สตาร์ทรถถือเป็นสถานการณ์ที่โชคดี เพราะความเสียหายต่อเครื่องยนต์ยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งการรับมืออย่างถูกวิธีในขั้นตอนนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรงตามมา และสิ่งที่ควรทำมีดังนี้

  1. เรียกช่างผู้เชี่ยวชาญทำการถ่ายน้ำมันออกจากถัง
  2. จากนั้นช่างจะตรวจสอบระบบเชื้อเพลิงและเครื่องยนต์ว่าเกิดความเสียหายหรือไม่ ทั้งการเปลี่ยนไส้กรอง หรือแม้แต่การล้างระบบเชื้อเพลิง ซึ่งการซ่อมแซมก็จะขึ้นอยู่กับความเสียหายนั่นเอง 

เติมน้ำมันผิดประเภท ประกันชั้นไหนคุ้มครองบ้าง?

การเติมน้ำมันผิดประเภทเป็นเหตุสุดวิสัยที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ใช้รถทุกคน แต่ไม่ใช่ประกันภัยทุกประเภทที่จะคุ้มครองความเสียหายจากเหตุการณ์นี้ โดยทั่วไปแล้วประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 มักครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากการเติมน้ำมันผิดประเภท รวมถึงค่าบริการระบายน้ำมันออกจากระบบและการตรวจเช็กระบบเชื้อเพลิงหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว 

อย่างไรก็ตาม ประกันภัยชั้น 2+ หรือชั้นอื่นๆ อาจไม่ครอบคลุมเหตุการณ์ลักษณะนี้ เว้นแต่ว่าได้มีการระบุความคุ้มครองเพิ่มเติมไว้ในกรมธรรม์ ดังนั้น ผู้ใช้รถจึงควรตรวจสอบรายละเอียดความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยให้ชัดเจน และระมัดระวังไม่ให้เติมน้ำมันผิดอีก

รถติดฟิล์มกรองแสง VS. ไม่ได้ติดฟิล์มกรองแสง กับประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน

รถติดฟิล์มกรองแสง VS. ไม่ได้ติดฟิล์มกรองแสง กับประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน

หลายคนอาจไม่รู้ว่าฟิล์มกันความร้อนสำหรับรถยนต์ไม่ได้มีประโยชน์แค่ช่วยลดความร้อนในห้องโดยสารเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันด้วย เพราะเมื่อห้องโดยสารมีความร้อนจากแสงแดด ระบบปรับอากาศต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาอุณหภูมิ ส่งผลให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้นและสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพการขับขี่ลดลง 

ดังนั้น การติดฟิล์มกรองแสงคุณภาพดีจึงเป็นวิธีที่ช่วยประหยัดพลังงานและยืดอายุการใช้งานของระบบปรับอากาศและเครื่องยนต์ โดยฟิล์มทั้ง 2 ประเภทมีความแตกต่างกันดังนี้

รถติดฟิล์มกรองแสง

คุณสมบัติของฟิล์มกรองแสงมีประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันดังต่อไปนี้

  • ฟิล์มกรองแสงช่วยลดความร้อนจากแสงแดด ทำให้ระบบแอร์ทำงานน้อยลง ซึ่งเป็นการช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เมื่อระบบทำงานเบาลงก็จะสามารถช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์และแอร์ได้

รถไม่ได้ติดฟิล์มกรองแสง

การที่รถไม่ติดฟิล์มกรองแสงมักจะประสบปัญหาต่างๆ และนำไปสู่การสิ้นเปลืองน้ำมันที่มากขึ้นโดยไม่จำเป็น ด้วยสาเหตุต่างๆ ดังนี้

  • ห้องโดยสารที่ร้อนจัดต้องใช้เวลาในการทำความเย็นนานขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการใช้พลังงานมากเกินไป
  • การทำงานหนักของเครื่องยนต์ทำให้มีการใช้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น

ติดฟิล์มกรองแสง กับ SPMS-EST ดีกว่าอย่างไร

การเลือกติดฟิล์มกรองแสงกับร้านที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก 3M ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณมั่นใจได้ในคุณภาพของฟิล์มที่ติดตั้ง แต่ยังมั่นใจได้ว่ากระบวนการติดตั้งนั้นได้มาตรฐาน มีการรับประกันคุณภาพ และใช้วัสดุที่ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานสากล โดยฟิล์มกรองแสงจาก 3M มีเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันความร้อนจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดการทำงานหนักของเครื่องปรับอากาศ และช่วยประหยัดน้ำมันได้อย่างเห็นผล อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ภายในห้องโดยสารได้อีกด้วย

แต่หากคุณยังไม่รู้ว่าจะเลือกติดฟิล์มกรองแสงยี่ห้อไหนดี เราขอแนะนำให้คุณเลือกติดฟิล์มกรองแสงจากร้านตัวแทนสาขาใกล้บ้าน เพื่อความสะดวก และรวดเร็ว เพราะปัจจุบันนี้มีร้านตัวแทนจำหน่ายของ 3M มากมายครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศไทยกว่า 400 สาขา ทั้งกรุงเทพและปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัด โดยคุณสามารถตรวจสอบ 3M ติดฟิล์มกรองแสง สาขาใกล้บ้านได้จากเว็บไซต์หลักของ SPMS-EST.com

สรุป

น้ำมัน 91 95 E20 มีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน แม้น้ำมันบางประเภทจะสามารถเติมร่วมกันได้ แต่ในขณะเดียวกันการเติมน้ำมันที่ไม่สามารถเติมผสมกันได้ก็สามารถส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้ ดังนั้น จึงไม่ควรเติมน้ำมันผิดและควรเติมน้ำมันให้เหมาะสมกับรถยนต์ของคุณ 

และอีกสิ่งที่ช่วยเรื่องลดความร้อนและประหยัดน้ำมันได้ดีคือ ฟิล์มกรองแสง ซึ่งควรเลือกฟิล์มกรองแสงกับร้านที่รับรองมาตรฐานจาก 3M เพราะนอกจากคุณจะสามารถเลือกใช้บริการได้อย่างสะดวก และรวดเร็วด้วยสาขาที่มีมากกว่า 400 สาขาทั่วประเทศแล้ว 3M ยังรับประกันคุณภาพสินค้าที่มาพร้อมกับการติดตั้งที่ได้มาตรฐานอีกด้วย

แชร์บทความนี้