คนรักรถควรรู้!
|
หากคุณกำลังมองหาฟิล์มติดรถยนต์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน คำถามที่พบบ่อยคือ “ติดฟิล์มรถยนต์ยี่ห้อไหนดี?” หรือติดฟิล์มกระจกรถยนต์ยี่ห้อไหนดี? เพราะการเลือกฟิล์มที่มีคุณภาพไม่ได้มองแค่คุณสมบัติช่วยลดความร้อน แต่ต้องเลือกฟิล์มติดรถยนต์ที่ช่วยป้องกันรังสี ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยให้กับรถของคุณด้วย บทความนี้จะพามารู้จักฟิล์มติดรถยนต์แต่ละประเภท พร้อมคุณสมบัติลดความร้อน ป้องกันรังสี ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล และรับประกันยาวนาน
แยกให้ถูก! ฟิล์มติดรถยนต์มีกี่ประเภท?
ก่อนจะไปเลือกว่าควรติดฟิล์มรถยนต์ยี่ห้อไหนดี? เรามาเริ่มทำความรู้จักกับฟิล์มแต่ละประเภทกันก่อนดีกว่า
ฟิล์มเซรามิค (Ceramic Film)
ฟิล์มเซรามิค (Ceramic Film) คือฟิล์มกรองแสงที่ผลิตโดยใช้อนุภาคเซรามิกขนาดเล็กระดับนาโนเคลือบลงบนชั้นฟิล์ม ทำให้มีคุณสมบัติเด่นในการป้องกันความร้อนจากแสงอาทิตย์ รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) และรังสีอินฟราเรด (IR) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ลดทอนความคมชัดในการมองเห็นจากภายใน และไม่รบกวนสัญญาณดิจิทัล เช่น GPS หรือ Easy Pass นอกจากนี้ ฟิล์มเซรามิคยังมีความทนทาน สีไม่ซีดจาง และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าฟิล์มกรองแสงทั่วไปอีกด้วย
ฟิล์มปรอท (Metalized Film)
ฟิล์มปรอท (Metalized Film) คือฟิล์มกรองแสงที่มีอนุภาคโลหะเคลือบอยู่ มีคุณสมบัติในการสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ ลดความร้อนภายในรถ และช่วยประหยัดพลังงานแอร์ นอกจากนี้ยังช่วยลดแสงจ้า เพิ่มความเป็นส่วนตัว และมีความทนทานต่อรอยขีดข่วน ข้อเสียคืออาจมีราคาสูงกว่าฟิล์มทั่วไป และอาจรบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์บางชนิด เช่น GPS หรือสัญญาณโทรศัพท์มือถือได้บ้าง
ฟิล์มคาร์บอน (Carbon Film)
ฟิล์มคาร์บอน (Carbon Film) คือฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่ผลิตโดยการผสมอนุภาคคาร์บอนขนาดเล็กเข้าไปในเนื้อฟิล์ม ทำให้ฟิล์มมีสีดำด้าน ไม่สะท้อนแสง และมีคุณสมบัติช่วยลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ ป้องกันรังสี UV ไม่รบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ เช่น GPS หรือโทรศัพท์มือถือ และสีของฟิล์มไม่ซีดจางง่ายเมื่อเวลาผ่านไป แต่ข้อเสียของฟิล์มคาร์บอนคืออาจมีราคาสูงกว่าฟิล์มย้อมสีทั่วไป และประสิทธิภาพในการลดแสงจ้าอาจไม่เท่าฟิล์มบางประเภท
ฟิล์มธรรมดา (Dyed Film)
ฟิล์มธรรมดา (Dyed Film) คือฟิล์มกรองแสงราคาประหยัดที่สุด ทำจากชั้นโพลีเอสเตอร์ที่ย้อมสี มีคุณสมบัติคือให้ความเป็นส่วนตัวสูงและลดแสงจ้าได้ดี แต่มีข้อเสียคือกันความร้อนและรังสี UV ได้น้อยกว่าฟิล์มประเภทอื่น สีซีดจางได้เมื่อเวลาผ่านไป และอาจเกิดฟองหรือลอกได้หากติดตั้งไม่ดี
ติดฟิล์มรถยนต์ยี่ห้อไหนดี? ให้คุ้มค่า ทนทาน
ต่อไปมาดูกันว่าควรเลือกฟิล์มติดรถยนต์ยี่ห้อไหนดี? เพื่อให้คุ้มค่า ทนทาน ใช้งานได้นาน ไม่ต้องเปลี่ยนฟิล์มบ่อยๆ

1. 3M Crystalline
ฟิล์มรถยนต์ 3M Crystalline ฟิล์มกรองแสงที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้โดยสารจากรังสีอัลตราไวโอเลตและลดความร้อนภายในรถยนต์ ฟิล์มนี้ใช้เทคโนโลยี “Multilayer Optical Film” ซึ่งประกอบด้วยฟิล์มโพลีเอสเตอร์บางๆ กว่า 200 ชั้น ทำให้บางกว่าโพสต์อิท เทคโนโลยีนี้ช่วยกรองแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพขณะเดียวกันก็ยังคงให้ทัศนวิสัยที่ชัดเจนสำหรับผู้ขับขี่
คุณสมบัติเด่นของฟิล์ม 3M Crystalline มีดังนี้
- ป้องกันรังสี UV ฟิล์มช่วยป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตได้ 99.99% ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง ได้รับการรับรองจากสถาบันมะเร็งผิวหนังแห่งสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องภายในรถยนต์จากการซีดจางและเสื่อมสภาพ
- ป้องกันรังสีอินฟราเรด ฟิล์มช่วยป้องกันรังสีอินฟราเรดได้ 97% ซึ่งเป็นแหล่งความร้อนหลักจากแสงแดด ช่วยให้รถยนต์เย็นลง ลดความจำเป็นในการใช้เครื่องปรับอากาศ และประหยัดพลังงาน
- ลดแสงจ้า ฟิล์มช่วยลดแสงจ้า ทำให้การขับขี่สบายขึ้น โดยเฉพาะในแสงแดดจ้า โดยรุ่น CR20 ออกแบบมาเพื่อลดแสงจ้าและความเป็นส่วนตัวสูงโดยเฉพาะ
- ทัศนวิสัยเยี่ยม แม้จะมีคุณสมบัติในการป้องกัน แต่ฟิล์มนี้ก็ยังคงให้ทัศนวิสัยที่ชัดเจนจากภายใน ทำให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัยทั้งกลางวันและกลางคืน รุ่น CR70 ให้แสงส่องผ่านในระดับสูงสุด ขณะเดียวกันก็ยังช่วยลดความร้อนได้

2. 3M Ceramic Prestige
ติดฟิล์มเซรามิคยี่ห้อไหนดี? เลือกฟิล์มกรองแสง 3M Ceramic Prestige ฟิล์มเซรามิคคุณภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อลดความร้อนภายในรถยนต์ ช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยลดภาระงานของระบบปรับอากาศ ซึ่งสามารถยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ ฟิล์มเซรามิคซูเปอร์พรีเมียมนี้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการฝังอนุภาคเซรามิกนาโน ให้การป้องกันความร้อนสูง สะท้อนรังสีอินฟราเรดและบล็อกรังสี UV ได้ 99%
คุณสมบัติเด่นของฟิล์ม 3M Ceramic Prestige มีดังนี้
- คุณภาพระดับพรีเมียม ใช้เทคโนโลยีนาโนเซรามิกขั้นสูงเพื่อการป้องกันความร้อนที่เหนือกว่า ผ่านการทดสอบและพัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์ของ 3M และแนะนำโดยแพทย์ผิวหนังในสหรัฐอเมริกา
- ลดความร้อนและแสงจ้า สะท้อนรังสีอินฟราเรดเพื่อรักษาความเย็นภายในรถยนต์ เพิ่มประสิทธิภาพการปรับอากาศและประหยัดพลังงาน ในขณะเดียวกันก็ลดแสงจ้าเพื่อการขับขี่ที่สบายตา
- ความเป็นส่วนตัวและมีสไตล์ ให้รูปลักษณ์ที่เรียบหรูทันสมัย เพิ่มความเป็นส่วนตัวโดยจำกัดการมองเห็นจากภายนอกเข้าสู่รถยนต์
- ทัศนวิสัยที่ชัดเจน มั่นใจได้ถึงทัศนวิสัยที่ชัดเจนจากภายในรถยนต์ รักษาความสว่างและป้องกันความรู้สึกอึดอัด ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่
- เป็นมิตรกับทุกสัญญาณ ทำจากวัสดุที่ไม่มีส่วนประกอบโลหะ จึงไม่รบกวนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ 5G WiFi GPS Bluetooth หรือ Easy Pass ทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถใช้งานเทคโนโลยีในรถยนต์ได้อย่างไม่ขัดข้อง
- ทนทานและป้องกันสนิม ผลิตขึ้นเพื่อทนต่อสนิมและการเสื่อมสภาพจากความชื้นและสารเคมี รักษาความสวยงามและประสิทธิภาพได้ยาวนาน

3. 3M Ceramic Ultra Clear
ติดฟิล์มเซรามิคยี่ห้อไหนดี? เลือกฟิล์มกรองแสง 3M Ceramic Ultra Clear ฟิล์มระดับพรีเมียมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นและประสิทธิภาพที่เหนือกว่าฟิล์มทั่วไป ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยและความสบายในการขับขี่
คุณสมบัติเด่นของฟิล์ม 3M Ceramic Ultra Clear มีดังนี้
- ความคมชัดสูงสุด ฟิล์มนี้ใช้เทคโนโลยีเซรามิคโมเลกุลระดับนาโน ทำให้เนื้อฟิล์มมีความใสพิเศษ ปราศจากความขุ่นมัว แม้จะมีความเข้มสูงเมื่อมองจากภายนอก ผู้ขับขี่ก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากภายในรถ
- ตัดรังสีอินฟราเรดได้สูงสุด 95% ช่วยลดอุณหภูมิภายในห้องโดยสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกสบายมากขึ้น และยังช่วยประหยัดพลังงานจากการใช้เครื่องปรับอากาศอีกด้วย
- ตัดรังสียูวีได้ถึง 99% ปกป้องผิวหนังและดวงตาจากรังสียูวีที่เป็นอันตราย และยังช่วยป้องกันอุปกรณ์ภายในรถยนต์ไม่ให้ซีดจางหรือเสื่อมสภาพ
- ไม่รบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ฟิล์มนี้ไม่มีส่วนผสมของโลหะ จึงไม่รบกวนสัญญาณ GPS, Wi-Fi, Bluetooth หรือสัญญาณโทรศัพท์มือถือ

4. 3M Ceramic S-Edition
ติดฟิล์มเซรามิคยี่ห้อไหนดี? เลือก 3M Ceramic S-Edition ฟิล์มกรองแสงเซรามิกคุณภาพสูงที่ให้ความเท่และความคมชัด พร้อมประสิทธิภาพในการป้องกันความร้อนและรังสี UV ได้อย่างยอดเยี่ยม คุณสมบัติเด่นของฟิล์ม 3M Ceramic S-Edition มีดังนี้
- S – Sun Control ลดแสงจ้า ช่วยให้ขับรถสบายตาในสภาพแสงแดดจ้า
- S – Solar Heat Shield เทคโนโลยีเซรามิกนาโนช่วยป้องกันรังสีอินฟราเรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ภายในรถเย็นสบาย
- S – Skin Cancer Prevention ป้องกันรังสี UV ได้ถึง 99% ช่วยป้องกันผิวจากความเสียหายและริ้วรอยก่อนวัย
- S – Signal Pass สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ผ่านได้โดยไม่มีสัญญาณรบกวน ช่วยให้ใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ เช่น Easy Pass และโทรศัพท์มือถือได้อย่างต่อเนื่อง
- S – Sight Vision Care ลดแสงจ้าขณะที่ยังคงให้ทัศนวิสัยที่ชัดเจน ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสบายในการขับรถ
- S – Safe and Save ลดภาระงานของระบบปรับอากาศ ช่วยประหยัดน้ำมันและปกป้องภายในรถจากการสึกหรอ

5. 3M Ceramic Absolute
ติดฟิล์มเซรามิคยี่ห้อไหนดี? เลือก 3M Ceramic Absolute ฟิล์มกรองแสงเซรามิคคุณภาพสูงที่ให้ความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่ ด้วยคุณสมบัติเด่นดังนี้
- ทัศนวิสัยที่ชัดเจน มีค่าการส่งผ่านแสงเพียง 7% และค่าการสะท้อนแสงเพียง 4% ทั้งภายในและภายนอก ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนในทุกสภาพแสง
- ลดแสงสะท้อน ค่าการสะท้อนแสงเพียง 4% ช่วยลดแสงจ้า ลดความเมื่อยล้าของดวงตา และเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่
- ป้องกันความร้อน กรองรังสี UV ได้ 99% และรังสีอินฟราเรดได้มากกว่า 70% ช่วยลดความร้อนภายในรถ ป้องกันการเสียหายของภายในรถ และทำให้ห้องโดยสารเย็นสบาย
- ประหยัดพลังงาน ช่วยลดการใช้เครื่องปรับอากาศ ทำให้ประหยัดพลังงาน เหมาะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และช่วยรักษาอุณหภูมิภายในรถให้เย็นลง ป้องกันความเสียหายจากความร้อนต่อชิ้นส่วนภายใน เช่น เบาะหนังและคอนโซล เป็นต้น

6. 3M CM Plus
3M CM Plus ฟิล์มรถยนต์ที่ช่วยเพิ่มความสบายในการขับขี่ และมอบความคุ้มค่าที่เหนือกว่า โดยมีคุณสมบัติเด่นดังนี้
- สะท้อนแสงน้อย ฟิล์มช่วยลดการสะท้อนภายในรถยนต์ ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นสำหรับผู้ขับขี่และช่วยเพิ่มความสวยงามของรถยนต์โดยลดการสะท้อนภายนอก
- ลดอุณหภูมิภายในรถ สามารถลดความร้อนได้มากถึง 65% ซึ่งช่วยให้รถเย็นลงและลดภาระของระบบปรับอากาศ ทำให้ประหยัดพลังงานและขับขี่สบายขึ้น
- ไม่รบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ฟิล์มออกแบบมาให้สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ เช่น GPS วิทยุ และสัญญาณโทรศัพท์มือถือผ่านได้โดยไม่ถูกรบกวน
- ปกป้องจากรังสี UV และ IR บล็อกรังสี UV ได้ 99% และรังสี IR ได้ 65% ปกป้องผู้โดยสารจากรังสีที่เป็นอันตรายและป้องกันการซีดจางของภายในรถยนต์
- ลดแสงจ้าได้ดี ฟิล์มลดแสงจ้าได้มากถึง 94% ซึ่งช่วยลดความเมื่อยล้าของดวงตาและเพิ่มทัศนวิสัยขณะขับรถ

7. 3M Smart Plus
ฟิล์มกรองแสง 3M Smart Plus เป็นฟิล์มกรองแสงคุณภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องการมองเห็นจากภายนอก นอกจากนี้ยังใช้กาวประสิทธิภาพสูงของ 3M ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลก โดยคุณสมบัติเด่นของฟิล์มกรองแสง 3M Smart Plus มีดังนี้
- ความใสเคลียร์ชัดเจน ฟิล์มมีความใสเคลียร์ชัดเจน ทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ดีเยี่ยม
- เงาสะท้อนต่ำ ฟิล์มมีเงาสะท้อนต่ำทั้งภายนอกและภายใน ทำให้ไม่เกิดแสงสะท้อนรบกวนการมองเห็น
- ป้องกันรังสี UV ฟิล์มป้องกันรังสี UV ได้ถึง 99% ช่วยปกป้องผิวและอุปกรณ์ภายในรถยนต์ไม่ให้เสื่อมสภาพเร็ว
- ลดความร้อน ฟิล์มช่วยลดความร้อนจากรังสีอินฟราเรดได้ถึง 70% ช่วยลดอุณหภูมิภายในรถยนต์และประหยัดพลังงานในการปรับอากาศ
- ทนทาน ฟิล์มผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง มีความทนทานต่อความร้อนและความชื้น สามารถใช้งานได้ยาวนาน

8. 3M Ceramate
3M Ceramate ฟิล์มกรองแสงรุ่นใหม่ที่ผลิตจากเซรามิกคุณภาพสูงและเทคโนโลยีการผลิตแบบเฉพาะ โดยมีคุณสมบัติเด่นหลายอย่าง ดังนี้
- ทัศนวิสัยที่ชัดเจน ฟิล์มให้ภาพที่ชัดเจนและสบายตาขณะขับรถ ไม่บิดเบือนภาพ และยังเพิ่มความสวยงามให้กับรถด้วยโทนสีเข้มและมีสไตล์ นอกจากนี้ยังช่วยลดแสงจ้าและการสะท้อนภายในรถ ทำให้ขับรถได้ปลอดภัยและสบายมากขึ้น
- ป้องกันความร้อนจากแสงอาทิตย์ ออกแบบมาสำหรับสภาพอากาศร้อน ฟิล์มนี้ช่วยป้องกันความร้อนจากแสงอาทิตย์ โดยใช้เทคโนโลยีการสะท้อนและดูดซับความร้อนเพื่อลดอุณหภูมิภายในรถ
- ลดการสะท้อนแสง ฟิล์มสีดำเข้มมีการสะท้อนแสงน้อยทั้งภายนอกและภายใน ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนเนื่องจากการสะท้อนแสงน้อยบนพื้นผิวฟิล์มภายในห้องโดยสาร
- สัญญาณผ่านได้ทุกสถานการณ์ ฟิล์มไม่ได้ประกอบด้วยโลหะ จึงไม่รบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Easy Pass, Bluetooth, Wi-Fi, RFID หรือสัญญาณโทรศัพท์และคลื่นวิทยุ
- ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง ปกป้องคุณจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้มากถึง 99% และได้รับการรับรองจากสถาบันมะเร็งผิวหนังแห่งสหรัฐอเมริกา
- ประหยัดพลังงาน เนื่องจากฟิล์มช่วยลดความร้อนภายในรถ จึงช่วยลดภาระการทำงานของระบบปรับอากาศได้ ซึ่งช่วยประหยัดน้ำมันและยืดอายุการใช้งานของแอร์ ลดการบำรุงรักษาที่ไม่จำเป็น
ฟิล์มติดรถยนต์ควรเลือกความเข้มเท่าไร?
การเลือกระดับความเข้มของฟิล์มรถยนต์ขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพแวดล้อม หากเดินทางตอนกลางวันเป็นหลัก ควรเลือกกระจกบานหน้าที่ 60% และรอบคัน 80% หรือ 60% รอบคันก็ได้ แต่ถ้าเดินทางตอนกลางคืน ควรติดฟิล์มกระจกบานหน้า 40% และรอบคัน 60% เพื่อการมองเห็นที่ชัดเจน หากต้องการความเป็นส่วนตัว ควรเลือกความเข้มของฟิล์มรถยนต์ 80% และกระจกบานหน้า 60% เป็นต้น
เลือกฟิล์มติดรถยนต์ต้องดูค่าอะไรบ้าง?
การเลือกฟิล์มติดรถยนต์นั้นมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเลือกฟิล์มที่มีคุณภาพดีและเหมาะสมกับความต้องการของคุณ โดยทั่วไปแล้วควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
- ค่าความเข้มของแสง (VLT) หรือ Visible Light Transmission คือค่าที่แสดงถึงปริมาณแสงที่สามารถผ่านทะลุฟิล์มได้ ยิ่งค่า VLT น้อยลงเท่าไรฟิล์มก็จะยิ่งเข้มขึ้นเท่านั้น การเลือกค่า VLT ขึ้นอยู่กับความต้องการ หากต้องการความเป็นส่วนตัวสูงก็ควรเลือกฟิล์มที่มีค่า VLT ต่ำ แต่ต้องการความสว่างภายในรถก็ควรเลือกฟิล์มที่มีค่า VLT สูง
- ค่าการป้องกันความร้อน (TSER) หรือ Total Solar Energy Rejection คือค่าที่แสดงถึงปริมาณความร้อนที่ฟิล์มสามารถป้องกันได้ ยิ่งค่า TSER สูงขึ้นเท่าไรฟิล์มก็จะยิ่งป้องกันความร้อนได้มากขึ้นเท่านั้น การเลือกค่า TSER ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในพื้นที่ของคุณ หากพื้นที่มีอากาศร้อนก็ควรเลือกฟิล์มที่มีค่า TSER สูง
- ค่าการป้องกันรังสี UV คือค่าที่แสดงถึงปริมาณรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่ฟิล์มสามารถป้องกันได้ การเลือกฟิล์มที่มีค่าการป้องกันรังสี UV สูงจะช่วยป้องกันผิวหนังและดวงตาจากอันตราย
- ประเภทของฟิล์ม ฟิล์มมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ควรเลือกประเภทของฟิล์มที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ
- ราคา ราคาของฟิล์มติดรถยนต์มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันบาท ราคาของฟิล์มจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของฟิล์ม ค่าความเข้มของแสง ค่าการป้องกันความร้อน และค่าการป้องกันรังสี UV
นอกจากนี้ คุณยังควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น ยี่ห้อของฟิล์ม การรับประกัน และความน่าเชื่อถือของร้านค้าก่อนตัดสินใจเลือกติดฟิล์มรถยนต์ด้วย
ฟิล์มติดรถยนต์อยู่ได้นานแค่ไหน?
ฟิล์มติดรถยนต์มีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 – 7 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของฟิล์มที่ใช้ สภาพอากาศ และการดูแลรักษา ฟิล์มที่มีคุณภาพดีและได้รับการรับรองจากสถาบันที่เชื่อถือได้มักจะมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า
นอกจากนี้ พฤติกรรมการใช้งานรถหรือการจอดรถในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศรุนแรง ทั้งบริเวณที่มีแสงแดดจัดหรือฝนตกบ่อยๆ อาจทำให้ฟิล์มรถยนต์เสื่อมสภาพเร็วขึ้นได้ด้วย สังเกตได้จากการที่สีซีดจางลง มีฟองอากาศ หรือประสิทธิภาพในการกันความร้อนลดลง เพราะฉะนั้น ควรเลือกติดฟิล์มคุณภาพดี น่าเชื่อถือ เพื่ออำนวยความสะดวกและยืดอายุการใช้งานของฟิล์มในกรณีที่ไม่สามารถเลี่ยงจอดรถในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศรุนแรงได้
ติดฟิล์มรถยนต์ใช้เวลากี่ชั่วโมง?
ระยะเวลาในการติดตั้งฟิล์มรถยนต์จะขึ้นอยู่กับขนาดของรถและต้องดูว่ามีฟิล์มเก่าติดอยู่หรือไม่ โดยประมาณแล้ว รถใหม่ป้ายแดงไม่มีฟิล์มเก่าจะใช้เวลาประมาณ 1.5 – 2 ชั่วโมง ส่วนรถที่มีฟิล์มเก่าจะใช้เวลาประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง (รวมเวลาลอกฟิล์มเก่า) นอกจากนี้ ขนาดของรถก็มีผลต่อระยะเวลาในการติดตั้ง โดยรถขนาดใหญ่ เช่น รถตู้ จะใช้เวลานานกว่ารถเก๋งขนาดเล็ก เป็นต้น
ติดฟิล์มรถยนต์ กับ SPMS-EST ดีกว่าอย่างไร
การเลือกติดตั้งฟิล์มกรองแสงรถยนต์กับร้านที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก 3M นั้นมีความสำคัญมากเนื่องจากเป็นการรับประกันถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการที่คุณจะได้รับ ฟิล์ม 3M เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในระดับสากลในด้านคุณภาพและเทคโนโลยีการกรองแสง การติดตั้งจากร้านที่ได้รับการรับรองจึงมั่นใจได้ว่าฟิล์มจะเป็นของแท้ ได้รับการติดตั้งอย่างถูกวิธีโดยช่างผู้ชำนาญ และจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากคุณสมบัติของฟิล์มอย่างเต็มที่
ขอแนะนำให้คุณเลือกติดฟิล์มจากร้านตัวแทนสาขาใกล้บ้าน เพื่อความสะดวก ในปัจจุบันมีร้านตัวแทนจำหน่ายของ 3M มากมายครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศไทยกว่า 400 สาขา ทั้งกรุงเทพ และปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัดด้วย สามารถตรวจสอบ 3M ติดฟิล์ม สาขาใกล้บ้านได้จากเว็บไซต์หลักของ SPMS-EST.com
สรุป
สรุปแล้วควรเลือกฟิล์มติดรถยนต์ยี่ห้อไหนดี? หรือติดฟิล์มกระจกรถยนต์ยี่ห้อไหนดี? การเลือกยี่ห้อฟิล์มติดรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญ ควรเลือกที่มีคุณภาพ เพื่อความปลอดภัยและความสบายในการขับขี่ ในการเลือกฟิล์มกรองแสงจึงควรให้ความสำคัญกับค่าต่างๆ ที่บ่งบอกประสิทธิภาพ เช่น ความเข้มของฟิล์ม การป้องกันรังสี UV และการลดความร้อนจากรังสีอินฟราเรด นอกจากนี้ ความเหมาะสมกับการใช้งาน ความเป็นส่วนตัวที่ต้องการ และงบประมาณที่มี ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกฟิล์มให้ตอบโจทย์ของคุณอีกด้วย
หากคุณกำลังมองหาฟิล์มเซรามิคที่ดี ควรเลือกจากแบรนด์ที่มีคุณภาพ และเลือกติดตั้งกับผู้เชี่ยวชาญที่มีมาตรฐานสูงอย่าง SPMS-EST เพื่อให้มั่นใจว่าได้รับฟิล์มแท้และบริการที่ดีที่สุด แล้วอย่าลืมเลือกติดฟิล์มจากร้านตัวแทนสาขาใกล้บ้าน โดยมีตัวแทนจำหน่ายมากมายครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศไทยกว่า 400 สาขา ทั้งกรุงเทพ และปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัด