คนรักรถควรรู้!
|
การดูแลรถยนต์ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะการดูแลไม่ให้มีรอยขีดข่วนและรอยถลอก จึงควรทำการเคลือบสีรถเพื่อป้องกันรอยขีดข่วน ซึ่งการเคลือบสีรถมีหลายแบบ ทั้งการเคลือบเซรามิก เคลือบแก้ว แล้วการเคลือบเซรามิกคืออะไร ต่างจากเคลือบแก้วหรือไม่ และรถประเภทไหนที่ต้องเคลือบเซรามิกบ้าง มาหาคำตอบกันได้ในบทความนี้เลย!
เคลือบเซรามิก คืออะไร
การเคลือบเซรามิก (Ceramic Coating) คือ การเคลือบชั้นผิวสีตัวถังรถยนต์ โดยใช้น้ำยาพิเศษที่มีส่วนผสมของ Silicon Carbide (SiC) ที่ถูกออกแบบให้มีความเงางามและความคงทน รวมไปถึงช่วยป้องกันรถยนต์ไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนด้วย ซึ่งการเคลือบเซรามิกนั้น จะมีอายุการใช้งานขั้นต่ำประมาณ 3 ปี จึงทำให้รถยนต์ดูใหม่ตลอดเวลา อีกทั้งยังช่วยให้ดูแลรักษารถได้ง่ายอีกด้วย
เคลือบแก้ว คืออะไร
การเคลือบแก้ว คือการเคลือบรถยนต์ด้วยสาร Silicon Dioxide (SiO2) โดยสารชนิดนี้เป็นสารสำหรับผลิตแก้ว ซึ่งการเคลือบแก้วจะช่วยป้องกันการเกิดรอยขีดข่วน การกัดกร่อน และช่วยให้มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่อาจส่งผลต่อสีของรถ
เคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก มีกี่ประเภท
การเคลือบแก้ว และการเคลือบเซรามิก เพื่อเพิ่มความเงางาม และป้องกันรอยขีดข่วนนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
แบบทา
การเคลือบแบบทา เป็นวิธีแบบดั้งเดิมที่จะต้องอาศัยความชำนาญของช่างเป็นพิเศษ เพราะเป็นการทาที่ต้องใช้เทคนิคในการทาน้ำยาเคลือบให้กระจายทั่วรถอย่างสม่ำเสมอ และทาในปริมาณที่ไม่บาง หรือไม่หนาจนเกินไป
แบบพ่น
การเคลือบแบบพ่น เป็นวิธีที่คล้ายกับการพ่นสีรถยนต์ เพราะใช้เครื่องพ่นในการทำ ซึ่งการเคลือบแบบพ่นจะช่วยให้น้ำยาเคลือบกระจายตัวได้ดี มีความรวดเร็ว และเข้าถึงได้ทุกซอกทุกมุม ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้รถมีความเงางาม คงทน ทำให้รถดูสีสด แวววาวตลอดเวลา ทำให้การเคลือบแบบพ่นได้รับความนิยมในปัจจุบัน
ข้อดีของการเคลือบเซรามิก
สำหรับคนรักรถที่อยากให้รถดูใหม่ตลอดเวลา ไม่มีรอยถลอก หรือรอยขีดข่วน การเคลือบเซรามิก ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยดูแลรักษารถไว้ได้ มาดูกันเลยว่าการเคลือบเซรามิกมีข้อดีอย่างไรบ้าง
ป้องกันรังสี UV
การเคลือบเซรามิกไม่เพียงแต่ป้องกันรอยต่างๆ เท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันรังสี UV ที่อาจเป็นสาเหตุทำให้สีรถยนต์ดูซีดจางได้ จึงทำให้สีของรถยนต์นั้นดูสีสดใส เหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา
ป้องกันสารเคมี
การเคลือบเซรามิกเหมือนเป็นการสร้างเกราะป้องกันให้กับรถยนต์ ด้วยความทนทานขนาด 9-10H ซึ่งจะช่วยป้องกันสารเคมีต่างๆ ไม่ให้สัมผัสไปถึงชั้นตัวสีที่เป็นผิวจริงของรถยนต์ได้ จึงทำให้สีจริงของรถยนต์ไม่ถูกกัดกร่อน
ป้องกันสีรถยนต์
คุณสมบัติของน้ำยาเคลือบทำให้รถยนต์มีความเงางามในการเคลือบเซรามิก จึงช่วยรักษาสภาพรถ รวมถึงปกป้องสีรถให้ดูใหม่และมันวาวอยู่เสมอนั่นเอง
เพิ่มความทนทาน
การเคลือบเซรามิกให้กับรถยนต์มีอายุการใช้งานถึงประมาณ 3 ปี ทำให้รถยนต์ได้รับการปกป้องที่ยาวนาน ช่วยเพิ่มความทนทานให้กับรถยนต์ได้
ป้องกันสิ่งสกปรก
การเคลือบเซรามิกสามารถป้องกันสิ่งสกปรกได้ ไม่ว่าจะเป็นยางไม้ มูลนก ที่อาจส่งผลให้เกิดการกัดกร่อนสีรถยนต์ได้ ทั้งนี้หากพบว่ารถยนต์มีสิ่งสกปรก ให้รีบทำความสะอาดเลยทันที เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกไปถึงตัวผิวรถยนต์
ทำความสะอาดง่ายขึ้น
รถยนต์ที่ผ่านการเคลือบเซรามิก จะทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น เพียงแค่ฉีดน้ำก็สามารถชะล้างสิ่งสกปรกออกไปจนหมด จึงเหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาล้างรถบ่อยๆ
ยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น
การเคลือบเซรามิกให้รถยนต์ เป็นการเพิ่มเลเยอร์ของชั้นเคลือบให้หนาขึ้นไป ซึ่งความทนทานของน้ำยาเคลือบ ในการเคลือบ 1 ครั้ง จะอยู่ได้ตั้งแต่ 1-7 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ด้วย
ข้อจำกัดของการเคลือบเซรามิก
นอกจากข้อดีต่างๆ แล้ว ยังมีข้อจำกัดหรือข้อเสียของการเคลือบเซรามิกที่ควรรู้ ดังนี้
- ราคาค่อนข้างสูง
- วิธีการเคลือบมีความซับซ้อนและละเอียดอ่อน
- ต้องใช้ช่างผู้ชำนาญการเคลือบเซรามิกเท่านั้น
- ใช้เวลาเคลือบนาน
- ไม่สามารถป้องกันสะเก็ดหินได้
- ไม่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้ทั้งหมด
เคลือบเซรามิก VS เคลือบแก้ว เลือกแบบไหนดี
การเคลือบแก้วสามารถช่วยป้องกันการเกิดรอยขีดข่วน การกัดกร่อน และช่วยให้มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่อาจส่งผลต่อสีของรถ ส่วนการเคลือบเซรามิก จะช่วยป้องกันรถยนต์ไม่ให้เกิดรอยขีดข่วน ทำให้รถยนต์ดูใหม่ตลอดเวลา แล้วการเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิก แบบไหนดีกว่ากันนั้น จะเห็นได้ว่า ทั้งการเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิกมีความคล้ายกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ การเคลือบเซรามิก จะช่วยเพิ่มความเงางามของรถยนต์ได้ดีกว่า มีความคงทนมากกว่า และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าการเคลือบแก้ว
เคลือบเซรามิก VS ฟิล์มกันรอย เลือกแบบไหนดี
การติดฟิล์มกันรอย สามารถช่วยป้องกันสีรถยนต์ เพิ่มความเงางาม ไม่ทำลายสีรถเดิม และไม่ทิ้งรอยตอนลอกออก แต่การติดฟิล์มกันรอยรถยนต์นั้นไม่คงทน ต้องทำซ้ำทุก 1-2 เดือน และยังไม่ทนทานต่อรอยขีดข่วนอีกด้วย ซึ่งการเคลือบเซรามิกนั้นจะแตกต่างกับการติดฟิล์มกันรอย ตรงที่การเคลือบเซรามิกเป็นการป้องกันคราบสกปรก แสงแดด ช่วยลดการเกิดรอยขีดข่วน และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าการติดฟิล์มกันรอย
รถออกใหม่ จำเป็นต้องเคลือบเซรามิก เคลือบแก้วหรือไม่?
หากเพิ่งออกรถใหม่ อยากให้รถมีความใหม่ สวยงามอยู่ตลอดเวลาการเคลือบเซรามิกและเคลือบแก้ว ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เป็นการช่วยดูแลรถยนต์ได้ เพราะการเคลือบเซรามิกและเคลือบแก้ว ช่วยเป็นเกราะป้องกันให้กับชั้นสีของรถ ทำให้สีรถแข็งแรง คงเดิมและมีความเงางามตลอดเวลา ซึ่งการเคลือบเซรามิกและเคลือบแก้ว ยังเหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาดูแลรถ การเคลือบเซรามิกและเคลือบแก้วถือว่าตอบโจทย์เลย เพราะหากเคลือบแล้ว ก็สามารถล้างทำความสะอาดรถได้ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ
วิธีดูแลรักษารถยนต์ที่เคลือบเซรามิก
การดูแลรักษารถยนต์ที่เคลือบเซรามิก สามารถทำได้ง่ายๆ หลังจากเคลือบเซรามิกเรียบร้อยแล้ว ควรรอให้น้ำยาเซตตัวให้ดีก่อน จึงค่อยล้างรถ โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
- ควรเลือกใช้อุปกรณ์หรือน้ำยาที่ปลอดภัยกับสีรถยนต์
- หมั่นใช้ผลิตภัณฑ์ที่บำรุงชั้นเคลือบเซรามิกอย่างสม่ำเสมอ
- ห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทขัดสีรถ
- ล้างด้วยน้ำสะอาดธรรมดาได้
- หากมีฝุ่นเกาะเพียงเล็กน้อย สามารถใช้ไม้ขนไก่ปัดและใช้ผ้าสะอาดเช็ดถูได้
สรุป
การเคลือบเซรามิก คือการเคลือบชั้นผิวสีตัวถังรถยนต์ โดยใช้น้ำยาพิเศษที่มีส่วนผสมของ Silicon Carbide (SiC) ที่ถูกออกแบบให้มีความเงางามและความคงทน รวมไปถึงช่วยป้องกันรอยขีดข่วน รังสี UV สารเคมี และสิ่งสกปรกได้ ซึ่งเทคนิคในการเคลือบเซรามิก มีทั้งแบบทาและแบบพ่น ทั้งนี้การเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิกมีความคล้ายกันแต่สิ่งที่ต่างกัน คือการเคลือบเซรามิก จะช่วยเพิ่มความเงางามของรถยนต์ได้ดีกว่า มีความคงทนมากกว่า และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าการเคลือบแก้ว สำหรับใครที่อยากเคลือบเซรามิก เพื่อให้รถยนต์ดูใหม่ตลอดเวลา ที่ SPMS-EST ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายเคลือบเซรามิก และผลิตภัณฑ์ดูแลรถยนต์3M มีบริการเคลือบเซรามิกโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ ที่ให้บริการแบบมืออาชีพ ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าอย่างประทับใจ และพร้อมให้บริการอย่างเต็มประสิทธิภาพ