คนรักรถควรรู้
|
ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ ช่วยป้องกันรอยขีดข่วน รอยสะเก็ดหิน คราบน้ำมัน และอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้สีของรถเสียหาย โดยสามารถเลือกประเภทของฟิล์มกันรอยได้ตามความต้องการ บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักฟิล์มใสกันรอยแต่ละประเภทว่ามีคุณสมบัติอย่างไร แล้วการติดฟิล์มใสกันรอยรถยนต์มีประโยชน์อย่างไร ไปดูกัน!
ทำความรู้จัก ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ คืออะไร
ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ คืออีกหนึ่งอุปกรณ์เสริมสำหรับรถยนต์ ที่เมื่อติดแล้วช่วยทำให้สีของรถยนต์ดูเหมือนใหม่ตลอดเวลา โดยลักษณะของฟิล์มใสกันรอยรถยนต์นั้นเป็นวัสดุแบบเนื้อใส มีความโปร่งแสง เนื้อฟิล์มหนาประมาณ 160-200 ไมครอน รวมถึงมีความเหนียว ทนทาน และมีความยืดหยุ่นสูง โดยฟิล์มใสกันรอยผลิตขึ้นจากเทอร์โมพลาสติกโพลียูรีเทนไฮบริด (TPH) และเทอร์โมพลาสติกโพลียูรีเทน (TPU) อีกทั้งเนื้อฟิล์มนั้นมีความหนา จึงสามารถป้องกันรถยนต์จากรอยขีดข่วนจากสะเก็ดหินหรือยางมะตอย ที่กระเด็นมาโดนรถของคุณจนทำให้สีของตัวรถเสียหาย
ประเภทของฟิล์มใสกันรอยรถยนต์
ประเภทของฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
1. ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ TPU
ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ TPU (Thermoplastic Polyurethane) คือ ฟิล์มที่มีเนื้อฟิล์มหนามากที่สุด และฟิล์มมีเนื้อใสกว่าฟิล์ม TPH และฟิล์ม PVC เป็นฟิล์มที่มีคุณสมบัติเด่นเรื่องของเนื้อฟิล์มที่เงาใส ดูมันวาว เมื่อติดแล้วเนื้อฟิล์มสวยเข้ากับตัวรถ อีกทั้ง เนื้อฟิล์มมีความเหนียว ทนทาน และมีความยืดหยุ่นสูง จึงทำให้เป็นจุดเด่นเรื่องป้องกันรอยขีดข่วนจากเล็บสัตว์ เศษกิ่งไม้ได้ดี ฟิล์มมีความทนทาน ช่วยดูดซับแรงกระแทกได้ดี มีเทคโนโลยี Self-Healing สามารถซ่อมแซมรอยขีดข่วนต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ฟิล์มใส TPU มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าฟิล์ม TPH และฟิล์ม PVC
2. ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ TPH
ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ TPH (Thermoplastics Polyurethane Hybrid) คือ ฟิล์มที่มีเนื้อฟิล์มหนาระดับปานกลาง เพราะเป็นเนื้อฟิล์มที่ผสมกันระหว่างฟิล์ม PVC และฟิล์ม TPU คุณสมบัติเด่นของฟิล์มใสประเภทนี้ คือ เนื้อฟิล์มมีความเงา ความใส สามารถลอกออกได้ง่ายโดยไม่ทิ้งคราบกาว และมีจุดเด่น คือ ราคาไม่แพง ฟิล์มติดง่าย เพราะฟิล์มเข้ากับความโค้งเว้าต่างๆ ของตัวรถได้ดี และมีเทคโนโลยี Self-Healing เช่นเดียวกับฟิล์ม TPU ที่ซ่อมแซมรอยต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องใช้ความร้อน
3. ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ PVC
ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ PVC (Polyvinylchloride) คือ ฟิล์มที่มีเนื้อฟิล์มบางที่สุด ไม่ค่อยยืดหยุ่น ทำให้ติดตั้งค่อนข้างยากกว่าฟิล์มประเภทอื่นๆ เพราะต้องใช้ไดร์ร้อนมาเป่าให้ฟิล์มละลายแนบไปกับตัวรถ อีกทั้งคุณสมบัติของฟิล์มใสประเภทนี้ คืออายุการใช้งานสั้น หากตากแดดนานๆ ฟิล์มจะมีสีซีดเหลือง ดูหมอง ไม่สวย รวมถึงกรอบแตกเป็นลายงาง่าย ทำให้เวลาลอกฟิล์มออก ฟิล์มจะทิ้งคราบกาวไว้บนผิวรถ หรือบางทีก็ดึงสีรถออกไปด้วย จนทำให้รถเป็นรอยด่าง ถึงแม้จะมีจุดเด่นตรงเป็นฟิล์มที่มีราคาถูกกว่าฟิล์มประเภทอื่นๆ แต่ก็เป็นประเภทฟิล์มที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในการนำมาติดเป็นฟิล์มใสกันรอยรถยนต์มากนัก
ติดฟิล์มใสกันรอยรถยนต์บริเวณไหนได้บ้าง
หากพูดถึงการติดฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ ผู้ใช้รถมักเลือกที่จะติดฟิล์มกันรอยรอบรถยนต์ทั้งคัน เพื่อปกป้องรถยนต์จากริ้วรอย หรือรอยขีดข่วนต่างๆ แต่การติดฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ ผู้ใช้รถยังสามารถเลือกติดฟิล์มเฉพาะส่วนที่ต้องการได้ ดังนี้
- ติดฟิล์มใสกันรอยรอบรถทั้งคัน
- ติดฟิล์มใสกันรอยเฉพาะบริเวณหน้ารถ เช่น กระจกมองข้าง ชิ้นส่วนบังโคลนหน้า ฝากระโปรงหน้า และกันชนหน้า
- ติดฟิล์มใสกันรอยเฉพาะบางส่วนของตัวรถ เช่น ติดฝากระโปรงหน้ากับบังโคลนหน้าครึ่งเดียว และติดกันชนหน้า
- ติดฟิล์มใสกันรอยเฉพาะส่วนที่สึกหรอได้ง่าย เช่น ขอบประตูรถ คิ้วท้ายรถ และที่จับประตูรถ
ทำไมต้องติดฟิล์มใสกันรอยรถยนต์
เหตุผลที่ผู้ใช้รถควรติดฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ มีดังนี้
ง่ายต่อการทำความสะอาด
การติดฟิล์มใสกันรอยสำหรับรถยนต์ ที่นอกจากช่วยป้องกันคราบสกปรกต่างๆ จากมูลนก ฝุ่นควัน ฝุ่นละออง หรือเขม่าไอเสียรถยนต์ ไม่ให้เกาะติด และฝังเข้าไปในสีของตัวรถแล้ว การติดฟิล์มก็ยังช่วยให้ง่ายต่อการทำความสะอาดอีกด้วย เพราะเมื่อรถเกิดคราบสกปรกต่างๆ ก็สามารถทำความสะอาดได้อย่างง่ายดาย โดยที่น้ำยาทำความสะอาดไม่ทำลายพื้นผิวของตัวรถ
ช่วยรักษาสีรถยนต์
ประเทศไทยเป็นประเทศเมืองร้อน ทำให้รถยนต์ต้องเจอกับแสงแดด และรังสี UV ในแต่ละวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่มีการป้องกันด้วยฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ ก็จะทำให้รถมีสีซีดจาง สีรถหลุดลอกเร็วกว่าปกติ แต่หากป้องกันรถด้วยการติดฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ที่มีคุณภาพ ทั้งฟิล์มที่มีความหนา ความเงา และความใส ฟิล์มเหล่านี้ก็จะช่วยปกป้องรถจากแสงแดด และรังสี UV ให้สีของรถยังดูใหม่อยู่เสมอ
ป้องกันสีรถเสียหายจากน้ำ
รถที่ติดฟิล์มใสกันรอยรถยนต์จะได้เปรียบกว่ารถที่ไม่ได้ติดฟิล์ม เพราะฟิล์มใสที่ติดรถ จะช่วยลดการเกาะติดของคราบน้ำต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยให้ง่ายต่อการทำความสะอาด และป้องกันไม่ให้สีรถเสียหาย หรือหลุดลอกจากการกัดกร่อนของคราบน้ำได้อีกด้วย
ป้องกันรอยขีดข่วน
ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ถูกออกแบบให้มีความหนาและความคงทน เพื่อป้องกันสีหรือตัวถังรถยนต์จากความเสียหายจากรอยขีดข่วน รอยกระแทกต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้กับตัวรถ เช่น รอยขนแมว รอยเล็บของสัตว์ สะเก็ดยางมะตอย สะเก็ดหินต่างๆ บนท้องถนน หรือป้องกันรอยขีดข่วนเล็กน้อยจากอุบัติเหตุเฉี่ยวชน เป็นต้น
ซ่อมแซมตัวเองได้
ด้วยคุณสมบัติของฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ที่มีคุณภาพ จะมีเทคโนโลยี Self-Healing ที่ฟิล์มสามารถซ่อมแซมตัวเองได้โดยอัตโนมัติด้วยความร้อน ทำให้เมื่อรถยนต์เกิดรอยขีดข่วนเล็กน้อย ฟิล์มก็สามารถซ่อมแซมตัวเองได้เป็นอย่างดี ทำให้รถกลับมาสวย และเงางามเหมือนเดิม
ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์เหมาะกับรถแบบไหน
ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ ถือเป็นฟิล์มติดรถยนต์ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้รถ ทำให้การติดฟิล์มใสกันรอยรถยนต์อาจเรียกได้ว่า เหมาะกับกลุ่มคนรักรถและรถทุกประเภท ตั้งแต่รถรุ่นธรรมดา รถหรู รถสปอร์ตราคาแพง ไปจนถึงรถแต่งพิเศษ ที่มีชิ้นส่วนราคาแพง เพราะฟิล์มถูกออกแบบมาให้มีความหนา ทนทานต่อรอยขีดข่วน จึงช่วยป้องกันรอยขีดข่วนต่างๆ ป้องกันคราบสกปรกฝังลึกไปกับตัวถังรถยนต์ อีกทั้ง ความเงางามของฟิล์ม ยังช่วยให้รถดูโดดเด่น และสีรถยังดูสดอยู่เสมอ
ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ VS เคลือบเซรามิก เลือกแบบไหนดี?
การเคลือบเซรามิกรถยนต์ เป็นการเคลือบชั้นผิวของตัวถังรถยนต์ด้วยน้ำยาพิเศษ ที่เมื่อน้ำยาเคลือบไปกับตัวรถ จะทำให้ผิวสัมผัสเรียบเนียน ผิวรถมีความแข็งแรง ทนทาน อีกทั้งช่วยเพิ่มความเงางามให้กับตัวรถ ทำให้รถดูใหม่ตลอดเวลา และหากรถเกิดคราบสกปรก ก็สามารถดูแลทำความสะอาดได้ง่าย ส่วนของการติดฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ เป็นการติดด้วยฟิล์มที่มีความหนากว่าการเคลือบเซรามิก ฟิล์มสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ รวมถึงฟิล์มใสกันรอย ยังทำให้รถดูเงางาม มีมิติมากขึ้น ไม่ต่างจากการเคลือบเซรามิก
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังมีความต่างอยู่ ระหว่างการเคลือบเซรามิก กับการติดฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ให้ได้สังเกตด้วย คือ การเคลือบเซรามิก จะมีความหนาเพียง 10 ไมครอน จึงป้องกันได้แค่รอยขีดข่วนเล็กน้อย แต่ไม่สามารถป้องกันสะเก็ดหินที่กระเด็นมาโดนตัวรถได้ อีกทั้งช่วยชะลอการเกิดคราบฝังแน่น ให้ผู้ใช้รถทำความสะอาดได้ง่าย ที่สำคัญ มีอายุการใช้งานเพียง 1-3 ปี จากนั้นเมื่อถึงกำหนดระยะเวลา ก็ต้องนำรถไป Re-Coat หรือเคลือบเซรามิกซ้ำ ต่างจากการติดฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ ที่มีความหนาถึง 180-250 ไมครอน ที่หนากว่าการเคลือบเซรามิก จึงสามารถป้องกันได้ทั้งริ้วรอย รอยขีดข่วน สะเก็ดหิน อีกทั้งฟิล์มช่วยป้องกันไม่ให้คราบฝังลึกไปกับสีรถยนต์ มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน 3-5 ปี (แล้วแต่ชนิดของฟิล์ม) และเมื่อถึงกำหนดเวลา ก็ต้องนำรถไปลอกฟิล์มออก
ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ของ 3M มีรุ่นอะไรบ้าง
ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ที่ทาง SPMS-EST เลือกมาให้บริการแก่ลูกค้า คือของ 3M ซึ่งเป็นฟิล์มใสที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูง สามารถติดตั้งได้เข้ารูป และแนบสนิทกับตัวรถได้ดี มีผิวเงางามจึงช่วยรักษาสีของรถยนต์ให้สวยงามอยู่ดังเดิม รวมถึงยังช่วยป้องกันสีและผิวรถยนต์จากเม็ดหิน การขูดขีด ซากแมลง ยางมะตอย รอยเปื้อนต่างๆ ความรุนแรงของสภาพอากาศ และรังสียูวี สามารถคืนสภาพผิวได้ดี เมื่อเกิดรอยขีดข่วนที่ไม่รุนแรงบนผิวฟิล์ม
โดยทั้ง 2 รุ่น มีความต่างกัน ดังนี้
คุณสมบัติ | ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์Pro Series 100 Gloss | ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์Pro Series 200 Gloss |
ความหนาของฟิล์ม (รวมกาว) | 190 ไมครอน | 200 ไมครอน |
อายุการใช้งานของฟิล์ม | 7 ปี | 10 ปี |
การรับประกัน | 3 ปี | 5 ปี |
สรุป
ฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ คือ ฟิล์มที่ถูกออกแบบมาสำหรับติดรถยนต์โดยเฉพาะ โดยฟิล์มผลิตขึ้นจากเทอร์โมพลาสติกโพลียูรีเทนไฮบริด (TPH) และเทอร์โมพลาสติกโพลียูรีเทน (TPU) ตัวฟิล์มเป็นวัสดุเนื้อใส ฟิล์มมีความโปร่งแสง และเนื้อฟิล์มมีความหนา จึงทำให้ข้อดีของการติดฟิล์มใสกันรอยรถยนต์ คือการช่วยปกป้องรถยนต์จากรอยขีดข่วนของเล็บสัตว์ เศษกิ่งไม้ รอยเฉี่ยวชนจากอุบัติเหตุ หรือสะเก็ดหินที่กระเด็นมาทำอันตรายกับสีของรถยนต์ ช่วยให้ทำความสะอาดรถได้ง่ายขึ้น รวมถึงช่วยปกป้องสีรถยนต์จากแสงแดด และรังสียูวี ให้สีของรถยังเงางาม และดูใหม่อยู่เสมอ
ที่สำคัญการเลือกติดฟิล์มใสกันรอยสำหรับรถยนต์ ควรเลือกฟิล์มใสกันรอยที่มีคุณภาพ เพื่อการใช้งานที่ยาวนาน โดยอาจเลือกจากประเภทของฟิล์ม ระดับความทนทานต่อรอยขีดข่วน การดูแลรักษา และการรับประกัน โดยที่ SPMS-EST มาพร้อมบริการ ติดฟิล์มกันรอยรถยนต์ ที่ช่วยดูแลคุณตั้งแต่การให้คำปรึกษาในการเลือกฟิล์ม เพื่อให้คุณได้ฟิล์มที่มีคุณภาพ ตลอดจนขั้นตอนการติดตั้งกับช่างมืออาชีพ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการติดตั้งที่ดีที่สุดสำหรับรถของคุณ