คนรักรถควรรู้!
|
อากาศร้อนอันตรายกว่าที่คิด โดยเฉพาะในตอนที่คุณกำลังขับรถอยู่ แสงแดดอาจจะส่องผ่านกระจกเข้ามาทำร้ายผิว และอุปกรณ์ภายในรถได้อย่างง่ายดาย ฟิล์มกันแดดจึงมีประโยชน์อย่างมาก แล้วฟิล์มกันแดดรถยนต์มีข้อดี และข้อจำกัดอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ!
ฟิล์มกันแดดรถยนต์ คืออะไร
ฟิล์มกันแดดรถยนต์ คือ อุปกรณ์ติดกระจกรถยนต์ เพื่อช่วยกรองแสงแดด และรังสีต่างๆ ไม่ให้เข้ามาภายในห้องโดยสาร ทำให้อากาศในรถเย็นลง ซึ่งลักษณะของฟิล์มกันแดดรถยนต์ จะเป็นแผ่นฟิล์มพลาสติกบางๆ เนื้อเรียบ และมีระดับความเข้มแตกต่างกัน โดยฟิล์มกันแดด เป็นวัสดุที่ผลิตมาจากพลาสติกโพลีเอสเตอร์ มีคุณสมบัติที่เป็นเนื้อเหนียว มีความยืดหยุ่นเล็กน้อย ไม่ดูดความชื้น และทนทานต่อทุกสภาพอากาศ
ฟิล์มกันแดดรถยนต์ มีกี่แบบ
ฟิล์มมีให้เลือกหลายประเภท โดยแต่ละแบบมีจุดเด่น และคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ปัจจุบัน ฟิล์มกันแดดรถยนต์แบ่งออกเป็น 3 แบบหลักๆ ดังนี้
ฟิล์มดำ
ฟิล์มดำ คือ ฟิล์มกันแดดรถยนต์ที่มีส่วนผสมของปรอทน้อยที่สุด ฟิล์มบางรุ่นอาจไม่มีส่วนผสมของปรอท หรืออาจใช้ส่วนผสมอื่นอย่างเซรามิก ซึ่งจะเข้าไปผสมอยู่ในเนื้อฟิล์มด้วย หรือที่เรียกกันอย่างคุ้นหูว่า ฟิล์มเซรามิค จุดเด่นของฟิล์มประเภทนี้ คือช่วยกรองแสง และช่วยลดความร้อนภายในห้องโดยสาร สีฟิล์มตัดกับตัวรถ ช่วยให้รถดูดี มีระดับมากขึ้น และหากมองจากภายนอก ฟิล์มกันแดดจะมีสีดำ ช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร แต่หากมองจากภายใน ก็กลายเป็นฟิล์มที่มองเห็นข้างนอกได้ชัดเจน
ฟิล์มใส
ฟิล์มใส เป็นฟิล์มกันแดดแบบเนื้อฟิล์มใส โปร่งแสง เนื้อฟิล์มเคลือบโลหะพิเศษเหมือนกับฟิล์มปรอท กันความร้อนได้ดีเทียบเท่ากับฟิล์มดำ หรือฟิล์มปรอท จุดเด่นที่น่าสนใจของฟิล์มใสนี้ คือ ฟิล์มจะทำให้ภายในรถดูกว้าง สูงโปร่ง สามารถนั่งโดยสารได้อย่างไม่อึดอัด ผู้ขับขี่มองเห็นเส้นทางได้ชัดเจน ทั้งในตอนกลางวัน และตอนกลางคืน
ฟิล์มปรอท
ฟิล์มปรอท คือ ฟิล์มกันแดดรถยนต์ที่ถูกเคลือบด้วยสารโลหะพิเศษประเภทต่างๆ เนื้อฟิล์มมีความแวววาว สะท้อนแสงได้ดีกว่าฟิล์มประเภทอื่นๆ มีจุดเด่นคือ ฟิล์มกันแดดแบบปรอท จะไม่ดูดซับความร้อน จึงสะท้อนความร้อนได้ดีกว่า แต่ฟิล์มจะไม่ลดแสงสะท้อนมากเท่าที่ควร ทำให้หากขับตอนกลางวัน ผู้ขับขี่ก็จะเห็นแสงสะท้อนของคอนโซลที่กระจกหน้า ทำให้มองเห็นทางไม่ชัดเจน รวมถึงแสงแดดอาจสะท้อนไปถึงผู้ร่วมทางคนอื่นๆ ได้
ข้อดีของฟิล์มกันแดดรถยนต์
ข้อดีของฟิล์มกันแดดรถยนต์ ที่นอกจากลดการสะท้อนของแสงแดด ช่วยป้องกันความร้อนแล้ว ยังมีข้อดีอีกหลายอย่างที่ช่วยปกป้องคุณ และรถของคุณ ดังนี้
ช่วยลดแสงจ้า
ฟิล์มกันแดดรถยนต์ที่มีความเข้ม สามารถป้องกันรังสียูวี ที่เป็นอันตรายต่อผิว และดวงตา ไม่ให้ผ่านเข้าไปในตัวรถได้ อีกทั้งฟิล์มบางชนิด สามารถสะท้อนรังสีอินฟราเรดได้อีกด้วย ซึ่งฟิล์มกันแดดที่ช่วยลดแสงจ้า ลดแสงสะท้อน ก็มีความสำคัญต่อผู้ขับขี่ เพราะช่วยลดอาการแสบตา ตาพร่า หรืออาการเมื่อยล้า จากการได้รับแสงแดดนานๆ ทำให้ขับรถได้อย่างสบายตา มองเห็นเส้นทางได้ชัดเจน
ช่วยลดความร้อน
ฟิล์มกันแดด ที่นอกจากช่วยลดความร้อนจากแสงแดด ให้ความร้อนภายในรถลดลง ช่วยให้การขับขี่ และการโดยสารรถสบายมากขึ้น การติดฟิล์มกันแดดก็ยังมีความสำคัญ ที่ช่วยป้องกันผิว และถนอมผิวจากแสงยูวี ที่เป็นสาเหตุของผิวหมองคล้ำ ฝ้า ริ้วรอยต่างๆ รวมถึงมะเร็งผิวหนังได้เป็นอย่างดี
ป้องกันความเป็นส่วนตัว
ระดับความเข้มของฟิล์มมีตั้งแต่ 40 60 และ 80 หากเลือกระดับความเข้มมาก จะช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว ป้องกันการมองเห็นจากภายนอก หากเลือกเป็นฟิล์มเซรามิค จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ เพราะทำให้มองเห็นภายนอกได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญ คนที่ต้องเดินทางคนเดียวบ่อยๆ หรือต้องจอดรถตามที่สาธารณะเป็นประจำ การติดฟิล์มกันแดดก็จะช่วยป้องกันคนภายนอก หรือผู้ไม่ประสงค์ดี ไม่ให้มองเห็นของมีค่าต่างๆ ภายในรถของคุณได้
ป้องกันวัสดุภายในห้องโดยสาร
อันตรายจากความร้อน และรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ สามารถทำให้วัสดุ และอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถ เช่น ผ้า หนังหุ้มเบาะรถยนต์ แผงคอนโซล หนังหุ้มพวงมาลัย หรือหัวเกียร์รถเกิดสีซีดจาง เสื่อมสภาพ และแตกหัก ทำให้การที่ติดฟิล์มกันแดดรถยนต์ที่มีคุณภาพ ก็มีความสำคัญต่ออุปกรณ์ภายในรถ เพราะช่วยลดการซีดจางของอุปกรณ์ ยืดอายุการใช้งาน ให้อุปกรณ์ต่างๆ ยังใหม่อยู่เสมอ
ลดอันตรายเมื่อกระจกแตก
การติดฟิล์มกันแดดบนกระจกรถยนต์ ช่วยลดอันตรายจากกระจกที่แตกร้าวในเวลาเกิดอุบัติเหตุได้ เพราะในเนื้อฟิล์มกันแดดทุกชนิด จะมีส่วนผสมของกาว ที่ทำหน้าที่ยึดเกาะ ทำให้เวลาเกิดอุบัติเหตุ กาวจะช่วยยึดเกาะเศษกระจกไว้ ไม่ให้เศษกระจกหล่นมาทำอันตรายผู้ขับขี่ และผู้โดยสารได้
ประหยัดพลังงาน
การติดฟิล์มกันแดดรถยนต์ ช่วยให้เครื่องปรับอากาศภายในรถไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ใช้พลังงานน้อยลง ซึ่งมีความสำคัญที่ทำให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้น รวมถึงในรถไฟฟ้าเอง ก็ช่วยลดอัตราการใช้แบตเตอรี่ ทำให้รถวิ่งได้ไกลกว่าเดิม
ข้อจำกัดของฟิล์มกันแดดรถยนต์
การติดฟิล์มกันแดดสำหรับรถยนต์ ที่ถึงจะมีข้อดีมากมาย ทั้งช่วยลดความร้อน สร้างความเป็นส่วนตัว จนถึงช่วยป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุ แต่ในการเลือกติดฟิล์มกันแดดสำหรับรถยนต์ ยังมีข้อจำกัดที่ควรรู้ ดังนี้
- การติดฟิล์มกันแดดรถยนต์ที่มีความเข้มมากเกินไป จะทำให้ผู้ขับมองเห็นเส้นทาง หรือสภาพถนนไม่ชัดเจนในตอนกลางคืน อาจทำให้เกิดอันตรายต่อตัวเอง และผู้ขับขี่คนอื่นๆ
- เมื่อฟิล์มเสีย หรือฟิล์มเสื่อมสภาพ จะทำให้ฟิล์มเริ่มมีฟองอากาศ มีรอยยับย่น ส่งผลต่อประสิทธิภาพการกรองแสง และทัศนวิสัยในการขับขี่ จนทำให้เกิดอันตรายขณะขับขี่
- ควรติดตั้งฟิล์มกรองแสงรถยนต์กับช่างผู้เชี่ยวชาญ และควรใช้ฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานฟิล์มกรองแสงได้อย่างยาวนาน และมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับรถยนต์ได้ด้วย
ควรเปลี่ยนฟิล์มกรองแสงตอนไหนดี
ฟิล์มกันแดดรถยนต์ ที่ต้องเจอกับแสงแดดเป็นประจำ หรือสภาพอากาศที่ต่างกัน ย่อมทำให้ฟิล์มเสื่อมสภาพตามระยะเวลาในการใช้งาน ซึ่งหากถามว่าควรเปลี่ยนฟิล์มกรองแสงตอนไหนดี? ก็มีวิธีสังเกตอาการฟิล์มกรองแสงที่เสื่อมสภาพง่ายๆ ดังนี้
เมื่อมีอายุการใช้งาน 5-10 ปี
ฟิล์มกันแดดสำหรับรถยนต์ที่ได้มาตรฐาน จะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 5-10 ปี จากนั้นฟิล์มก็จะค่อยๆ เสื่อมสภาพ ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานลดลง
เมื่อมีฟองอากาศ รอยยับ
เมื่อฟิล์มกันแดดรถที่ใช้งาน เริ่มมีฟองอากาศ หรือรอยยับย่นที่เห็นได้ชัด หมายความว่า ฟิล์มรถยนต์ของคุณเริ่มเสื่อมสภาพ และควรรีบเปลี่ยนโดยทันที เพื่อให้มองเห็นขณะขับขี่ได้ชัดเจน
เมื่อสีเปลี่ยนไปจากเดิม
หากฟิล์มกันแดดที่ติดรถมีสีซีด สีจาง สีของฟิล์มไม่มีความทึบ หรือสีเปลี่ยนไปจากเดิม ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า ฟิล์มติดรถกำลังเสื่อมสภาพ และต้องรีบนำรถยนต์ไปเปลี่ยนฟิล์มใหม่โดยเร็ว เพราะสีของฟิล์มที่เปลี่ยนไปจากเดิม จะทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นเส้นทาง และพื้นถนนไม่ชัดเจน ซึ่งส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน
อุณหภูมิในรถเริ่มร้อน
ขณะที่เปิดแอร์รถในอุณหภูมิเท่าเดิม แต่ผู้ขับขี่ หรือผู้โดยสารรู้สึกว่าภายในรถยนต์ร้อนขึ้นกว่าปกติ และแอร์ในห้องโดยสารไม่เย็นเหมือนทุกครั้ง อาจหมายถึง ฟิล์มติดรถยนต์ที่ใช้งานเสื่อมสภาพนั่นเอง ซึ่งฟิล์มกันแดดที่เสื่อมสภาพทำให้ไม่สามารถป้องกันความร้อนได้ ส่งผลให้แอร์ภายในรถทำงานหนักขึ้น และสิ้นเปลืองน้ำมันรถมากขึ้นตามไปด้วย
เกิดภาพซ้อน ภาพมัวบนกระจกรถ
หากฟิล์มกรองแสงที่ใช้งานอยู่ เริ่มมองไม่ชัด เห็นเป็นภาพซ้อน ภาพมัวๆ จนทำให้ตาพร่ามัว ตาลายขณะขับขี่ นั่นหมายความว่า ฟิล์มกันแดดรถของคุณกำลังเสื่อมสภาพ หรือหมดอายุการใช้งานแล้ว และควรรีบเปลี่ยนทันที เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น
ภายในรถเริ่มมีกลิ่นเหม็นอับ
หากรถยนต์ของคุณมีกลิ่นเหม็นรุนแรง ที่ไม่ได้มาจากเบาะ พรม หรือแอร์ อาจเป็นไปได้ว่ากลิ่นเหม็นนี้มาจากฟิล์มกันแดดรถยนต์ที่เริ่มเสื่อมสภาพ ที่ส่งกลิ่นเหม็นจากคราบกาว และคราบกาวอาจทำลายพื้นของกระจกเสียหาย
เลือกฟิล์มรถยนต์ ต้องดูอะไรบ้าง
อายุการใช้งานของฟิล์มกันแดดรถยนต์ ไม่ใช่แค่ 1 ปี หรือ 2 ปี แต่การใช้งานยังมากถึง 10 ปี จึงควรเลือกฟิล์มที่ดี มีคุณภาพ เพื่อประสิทธิภาพในการใช้งาน มาดูกันว่า ควรเลือกฟิล์มรถยนต์อย่างไรดี? และการเลือกฟิล์มกันแดดติดรถยนต์ ควรต้องดูอะไรบ้าง ดังนี้
เลือกที่กันความร้อนได้ดี และเจาะจงที่ค่าการตัดรังสี IR
เลือกฟิล์มกรองแสงที่กันความร้อนได้ดี และมีค่าป้องกันความร้อนที่เหมาะกับการใช้งาน เช่น ค่าแสงส่องผ่าน (VLT) ค่าการสะท้อนแสง (VLR) ค่าการลดรังสี UV (UVR) ค่าลดความร้อนจากแสงแดด (TSER) และค่าการตัดรังสีอินฟราเรด (IR) หรือค่าป้องกันความร้อนจากแสงแดด ถือเป็นค่าสำคัญที่สุด เพราะแสงอาทิตย์มีค่ารังสีอินฟราเรดมากถึง 53% จึงควรเลือกฟิล์มกันแดดรถยนต์ที่มีค่า IR มากกว่า 53% ขึ้นไป ก็จะช่วยให้อากาศภายในรถเย็นสบาย ไม่ร้อนมากจนเกินไป
เลือกตามสีที่ชอบ
สีของฟิล์มกันแดดรถยนต์ จะแบ่งเป็นสีพื้นฐานหลักๆ คือ สีเขียว สีฟ้า สีชา สีบรอนซ์ สีเทาควันบุหรี่ และสีดำชาโคล แต่เนื่องจากกระจกของรถแต่ละรุ่น จะเป็นกระจกสีเดิมที่มาจากโรงงาน ดังนั้น ก่อนการติดฟิล์มทุกครั้ง ควรนำตัวอย่างฟิล์มไปทาบกับกระจกรถ เพื่อดูว่าหากติดแล้ว จะได้สีฟิล์มที่ถูกใจหรือไม่ เพื่อให้ได้สีที่เข้ากันได้กับตัวรถ
เลือกตามระดับความเข้ม
การเลือกระดับความเข้มของฟิล์มกันแดดก็เป็นปัจจัยสำคัญ โดยดูจากระดับความเข้มของฟิล์ม ที่มีตั้งแต่ระดับ 40 60 และ 80 หากเลือกฟิล์มที่มีค่าตัวเลขน้อย ฟิล์มจะค่อนข้างสว่าง และมองเห็นภายในได้ชัดเจน แต่ถ้าหากฟิล์มมีค่าตัวเลขสูงมาก ความเข้มของฟิล์มจะยิ่งมาก และจะช่วยป้องกันการมองเห็นจากภายนอก เพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับคนในรถได้มากขึ้น
เลือกที่ระดับความเงา
ระดับความเงาของฟิล์มกันแดด คือ ค่าการสะท้อนแสง (VLR) โดยหากเลือกฟิล์มที่มีค่า VLR สูง แบบฟิล์มปรอท ฟิล์มจะยิ่งเงามาก จนเหมือนกระจกสะท้อนแสง แต่หากเลือกค่า VLR ต่ำ แบบฟิล์มเซรามิค ฟิล์มจะยิ่งมีความเงาต่ำ ดูไม่มันวาว เพิ่มความเรียบหรูให้กับตัวรถมากขึ้น ซึ่งการเลือกระดับความเงาก็สำคัญ เพราะหากเลือกค่าแสงสะท้อนมากเกินไป จะทำให้เกิดแสงสะท้อนในตัวรถมาก ทั้งในตอนกลางวัน และตอนกลางคืน จนรบกวนทัศนวิสัยการขับขี่ ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน รวมถึงฟิล์มอาจสะท้อนเข้าตาผู้ใช้รถคนอื่นๆ ได้
เลือกตามราคาที่เหมาะสม
ราคาของฟิล์มกันแดดติดรถยนต์ มีตั้งแต่ราคาแบบย่อมเยาจนถึงราคาแพง ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของฟิล์ม เทคโนโลยีการผลิต ขนาดของกระจก รวมถึงตำแหน่ง และจำนวนที่ติดตั้ง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรเลือกเปรียบเทียบความคุ้มค่า ความเหมาะสมในการใช้งาน เพื่อให้ได้ราคา และคุณภาพของฟิล์มที่เหมาะสม
เลือกแบรนด์ที่ได้มาตรฐาน
เลือกฟิล์มกันแดดจากแบรนด์ที่ได้มาตรฐาน ดูน่าเชื่อถือ มีการรับประกัน บริการหลังการขายที่ดี ก็ช่วยให้มั่นใจเรื่องของคุณภาพ เช่น ฟิล์มกรองแสงเซรามิค 3M ที่เป็นฟิล์มที่หลายคนนิยมใช้ ซึ่งคุณสมบัติของ ฟิล์มเซรามิค 3M ดีกว่าฟิล์มทั่วไป ต่างกันตรงที่ฟิล์มกรองแสงเซรามิค 3M เป็นเนื้อฟิล์มใส ไม่ขุ่นเงา เมื่อมองจากภายนอก ฟิล์มจะมีสีเข้ม ให้ความเป็นส่วนตัว แต่ถ้ามองจากภายใน ฟิล์มจะดูใส ชัด เคลียร์ วิสัยทัศน์ชัดเจน ฟิล์มสามารถป้องกันรังสียูวีได้มากถึง 99% และป้องกันรังสีอินฟราเรดได้มากถึง 95% ช่วยปกป้องผิว และวัสดุภายในรถ พร้อมลดความร้อน ให้รถเย็นสบายมากกว่าเดิม ที่สำคัญ ไม่มีส่วนผสมของไอโลหะ จึงไม่รบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ตลอดการเดินทาง
เลือกร้านติดฟิล์มที่น่าเชื่อถือ
ติดฟิล์มกันแดดสำหรับรถยนต์กับร้านที่น่าเชื่อถือ มีบริการที่ได้มาตรฐาน มีสถานที่ และอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการติดฟิล์ม เพื่อป้องกันปัญหาฝุ่นละออง ป้องกันคราบความชื้น ป้องกันฟิล์มเป็นฟองอากาศ รวมถึงความชำนาญในการติดตั้ง ซึ่งการเลือกร้านติดตั้งที่ได้มาตรฐาน ก็เป็นสิ่งสำคัญ อย่างที่ SPMS-EST ผู้จัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ 3M พร้อมด้วยการทำงานแบบมืออาชีพ ทั้งการรับประกันสินค้า การบริการก่อน และหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ มีศูนย์บริการ และศูนย์เคลมทั่วประเทศ ที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่เข้ารับบริการ
สรุป
ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ หรือ Film กันแดดรถยนต์ เปรียบได้กับอุปกรณ์ที่ช่วยลดความร้อนภายในรถยนต์ โดยช่วยกรองแสง และความร้อน เพื่อให้อากาศในรถเย็นสบาย แอร์ไม่ต้องทำงานหนักเกินไป นอกจากนี้ ยังป้องกันอุปกรณ์ภายในรถ ไม่ให้เสื่อมสภาพ และยังลดความเสี่ยงกรณีกระจกแตกขณะเกิดอุบัติเหตุ แต่ฟิล์มรถยนต์มีอายุการใช้งานแค่ 5-10 ปี จากนั้นฟิล์มจะค่อยๆ เสื่อมสภาพ หากฟิล์มที่ใช้งานเริ่มมีฟองอากาศ รอยย่น จนมองอะไรไม่ชัดเจน ควรรีบเปลี่ยนฟิล์มโดยทันที เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
โดยการเปลี่ยนฟิล์มรถยนต์ ควรเลือกร้านที่ได้มาตรฐาน อย่าง SPMS-EST ที่มีฟิล์มกรองแสงรถยนต์ 3M ให้เลือกหลากหลายแบบตามสไตล์ของผู้ใช้รถ มีร้านตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งอย่างเป็นทางการมากกว่า 400 ร้านค้าทั่วประเทศ พร้อมด้วยทีมงานมืออาชีพ ที่คอยให้คำปรึกษา ตั้งแต่การเลือกฟิล์ม ตลอดจนการติดตั้งที่ได้มาตรฐาน จากช่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในทุกการบริการ