คนรักรถควรรู้!
- ปัญหารถกินน้ำมันเกิดจากสาเหตุลมยางอ่อนหรือต่ำกว่ามาตรฐาน น้ำมันเครื่องและไส้กรองเสื่อมสภาพ ไส้กรองอากาศอุดตัน ระบบเผาไหม้มีปัญหา และพฤติกรรมการขับขี่ไม่เหมาะสม
- ทริกประหยัดน้ำมัน สามารถทำได้โดยไม่เหยียบเบรกบ่อย ขับในความเร็วคงที่ เช็กลมยาง ออกตัวรถไม่กระชาก ไม่ปรับแอร์ให้เย็นเกินไป เข้าเกียร์ว่างเมื่อรถติด ขนของเท่าที่จำเป็นจริงๆ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะกำหนด ไม่เลี้ยงคลัตช์ เลี่ยงเส้นทางรถติด ดับเครื่องเมื่อถึงจุดหมาย
- ติดฟิล์มกับ SPMS-EST รับประกันว่าได้ฟิล์มกรองแสงที่กันร้อน กันรังสีและได้ความเป็นส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยทีมงานมืออาชีพพร้อมบริการหลังการขาย
รถกินน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นรถแบบใด ก็เป็นอีกปัญหากวนใจที่เจอได้บ่อยๆ และในขณะที่ราคาน้ำมันรถยนต์ผันผวนสูง ผู้ขับขี่รถจำนวนมากมักเผชิญปัญหารถกินน้ำมันมากเกินไป ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มโดยไม่จำเป็น บทความนี้ได้รวบรวมวิธีประหยัดน้ำมันง่ายๆ 10-15 ข้อที่ทุกคนสามารถปรับใช้ตามได้ก่อนสตาร์ตรถยนต์

ปัญหารถกินน้ำมันเกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง
- ลมยางอ่อนหรือต่ำกว่ามาตรฐาน ลมยางน้อยทำให้เกิดแรงเสียดทานกับพื้นถนนมากขึ้น ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนักและสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่ม โดยยังเพิ่มความเสี่ยงยางสึกหรอและอุบัติเหตุ
- น้ำมันเครื่องและไส้กรองเสื่อมสภาพ น้ำมันเครื่องเก่าเสียความหนืด ลดประสิทธิภาพการหล่อลื่น ทำให้เครื่องยนต์ต้องใช้พลังงานมากขึ้น ขณะที่ไส้กรองอุดตันขัดขวางการไหลเวียน
- ไส้กรองอากาศอุดตัน กรองสกปรกบังไม่ให้อากาศเข้าเครื่องยนต์เพียงพอ ส่งผลให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์และเครื่องยนต์ทำงานหนัก
- ระบบเผาไหม้มีปัญหา หัวเทียน หัวฉีด หรือเซนเซอร์ออกซิเจน (O2 Sensor) เสีย ทำให้ฉีดน้ำมันไม่ถูกต้องหรือการจุดระเบิดผิดปกติ สังเกตได้จากเครื่องยนต์ดับติดหรือเร่งไม่ขึ้น
- พฤติกรรมการขับขี่ไม่เหมาะสม ขับเร็วเกินไป เร่งแรงเบรกกะทันหัน เปลี่ยนเกียร์บ่อย หรือขับในรถติดนานๆ ทำให้เครื่องยนต์ใช้พลังงานสูงผิดปกติ

แนะนำ 15 วิธีการประหยัดน้ำมันง่ายๆ ทำได้จริง
ก่อนสตาร์ตรถออกเดินทาง มาดู 15 วิธีการประหยัดน้ำมัน วิธีแก้รถเก๋งกินน้ำมันง่ายๆ ที่สามารถทำตามได้ทันทีกันว่ามีอะไรบ้าง
ขับในความเร็วคงที่
การขับให้รักษาความเร็วใกล้เคียงกันตลอดเส้นทาง เช่น ช่วงประมาณ 70–90 กม./ชม. บนถนนนอกเมือง ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานในช่วงรอบที่มีประสิทธิภาพ การเผาไหม้เชื้อเพลิงจึงมีเสถียรภาพและใช้ปริมาณน้ำมันน้อยกว่าการเร่งขึ้นลงตลอดเวลา
เลี่ยงการเหยียบเบรกบ่อย
การขับรถให้ประหยัดน้ำมัน เมื่อเห็นสัญญาณไฟแดงหรือการจราจรติดขัดด้านหน้า ควรค่อยๆ ผ่อนคันเร่ง ปล่อยให้รถชะลอด้วยตัวเอง แล้วค่อยแตะแค่เบรกเบาๆ ใกล้จุดหยุด ลดโอกาสต้องเร่งเครื่องใหม่แรงๆ ซึ่งเปลืองน้ำมันและทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ การไม่เบรกกะทันหันยังช่วยยืดอายุผ้าเบรกและยาง ลดค่าใช้จ่ายระยะยาว และทำให้การขับขี่ปลอดภัยและผ่อนคลายมากขึ้นด้วย
หมั่นเช็กลมยาง
หนึ่งในวิธีแก้รถเก๋งกินน้ำมัน ควรดูค่าความดันลมที่เหมาะสมจากคู่มือรถหรือสติกเกอร์ที่กรอบประตูคนขับ แล้วใช้เกจ์วัดลมยางแบบดิจิทัลหรือแบบแท่ง กดแน่นที่จุกวาล์วแต่ละล้อเพื่ออ่านค่า โดยเช็กตอนยางเย็น ทุกสัปดาห์หรือก่อนเดินทางไกล หากลมต่ำกว่า ให้เติมที่ปั๊มด้วยหัวจ่ายที่มีเกจ์ หรือปล่อยลมถ้าสูงเกิน ทำทุก 4 ล้อรวมอะไหล่สำรองเพื่อความสมดุล ป้องกันยางสึกไม่เท่ากันและรถกินน้ำมันเพิ่ม
ออกตัวรถเบาๆ ไม่กระชาก
เริ่มจากค่อยๆ เหยียบคันเร่งให้นุ่มนวล โดยใช้ปลายเท้าแตะเบาๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มแรงกดทีละน้อย จนรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเอง แทนการเหยียบคันเร่งเต็มแรงตั้งแต่เริ่ม สำหรับรถเกียร์ออโตเมติก ปล่อยเบรกช้าๆ พร้อมเหยียบคันเร่งเบาๆ ในคราวเดียว รอให้รอบเครื่องขึ้นถึง 1,500-2,000 รอบ/นาที แล้วค่อยเร่งต่อเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานในช่วงประสิทธิภาพสูงสุด หลีกเลี่ยงการออกตัวแบบ “เหยียบยาว” หรือกระชากเกียร์ ซึ่งทำให้เผาไหม้ไม่สมบูรณ์และสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่ม 10-20% โดยเฉพาะในรถติดหรือทางลาดชัน
อย่าปรับแอร์ให้เย็นเกินไป
ควรตั้งอุณหภูมิแอร์ที่ 24-26°C แทนการตั้งต่ำสุด (16-18°C) เพื่อให้คอมเพรสเซอร์ทำงานน้อยลงและตัดการทำงานบ่อยขึ้น ลดการฉุดรอบเครื่องยนต์โดยตรง เปิดพัดลมแอร์แค่เบอร์ 2-3 และใช้โหมดรีไซเคิลอากาศ (Recirculate) เพื่อความเย็นเร็วโดยดึงอากาศเย็นภายในรถมาใช้ซ้ำ แทนการดูดอากาศร้อนจากภายนอก จอดรถในที่ร่มหรือใช้กันแดดบังกระจกเพื่อลดความร้อนสะสมก่อนสตาร์ตเครื่อง และปิดแอร์ 1-2 นาทีก่อนถึงที่หมายเพื่อให้ระบบคลายตัว
เมื่อรถติด เข้าเกียร์ว่างทันที
สำหรับรถเกียร์ออโตเมติก เมื่อรถหยุดนิ่งนานเกิน 5-10 วินาที ให้ดึงคันเกียร์ไปตำแหน่ง N ทันที พร้อมเหยียบเบรกค้างไว้ เพื่อตัดการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องยนต์กับล้อ ลดการสิ้นเปลืองจากการลากเกียร์ D เมื่อรถเริ่มเคลื่อน ให้เปลี่ยนกลับเกียร์ D และออกตัวเบาๆ ไม่ต้องเร่งแรง หลีกเลี่ยงการเหยียบเบรกค้างนานในเกียร์ D ซึ่งทำให้เครื่องยนต์รอบสูงผิดปกติ หากรถติดนานมากกว่า 1 นาที ควรดับเครื่องแล้วสตาร์ตใหม่แทนการจอดติดเครื่อง เพื่อประหยัดน้ำมันสูงสุดและลดมลพิษ
ขนสัมภาระเท่าที่จำเป็น
ก่อนออกเดินทาง ตรวจสอบกระเป๋า ท้ายรถ และที่นั่ง แล้วนำของที่ไม่ใช้ทิ้ง เช่น กระเป๋าเดินทางเก่า เต้าคีม หรือของเล่นเด็กที่ลืมไว้ เพื่อลดน้ำหนักส่วนเกินที่ทำให้รถกินน้ำมันเพิ่ม วางแผนบรรทุกเฉพาะสิ่งจำเป็น เช่น เสื้อผ้า น้ำดื่ม และเอกสาร โดยกระจายน้ำหนักให้สมดุล ไม่กองด้านหลังมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้รถท้ายต่ำและเพิ่มแรงเสียดทาน สำหรับทริปยาว ใช้หลังคากั้นสัมภาระเฉพาะเมื่อจำเป็นเพราะเพิ่มแรงต้านลม และถอดชิ้นส่วนแต่งรถที่ไม่ใช้เพื่อลดน้ำหนักรวม
ตรวจเช็กสภาพเครื่องยนต์เสมอ
ก่อนขับรถให้ประหยัดน้ำมัน ควรเช็กระดับน้ำมันเครื่องโดยดึงก้านวัดตอนเครื่องเย็น เช็ดสะอาดแล้วสอดกลับเข้าไป ดึงออกดูว่าอยู่ระหว่าง Min-Max และสีใสไม่ขุ่นดำ หากต่ำให้เติมตามสเปกคู่มือรถทุก 1,000 กม. หรือสัปดาห์ละครั้ง หมั่นตรวจไส้กรองอากาศว่าสกปรกอุดตันไหม ถ้าดำหรือมีฝุ่นมากให้เปลี่ยน และดูน้ำมันเกียร์ เบรก พวงมาลัยเพาว์เออร์ว่าอยู่ระดับปกติ ไม่รั่วซึมหรือขุ่น สังเกตเสียงเครื่องผิดปกติ รอบเดินเบาสูง หรือไฟเตือน ECU แล้วนำเข้าศูนย์เช็กหัวเทียน หัวฉีด O2 Sensor ทุก 10,000 กม. เพื่อป้องกันการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์
เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะกำหนด
ก่อนเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ตรวจคู่มือรถเพื่อดูระยะแนะนำ เช่น น้ำมันเครื่องธรรมดาเปลี่ยนทุก 5,000-7,500 กม. หรือ 6 เดือน กึ่งสังเคราะห์ 10,000 กม. หรือ 6-9 เดือน และสังเคราะห์เต็ม 15,000 กม. หรือ 1 ปี โดยดูก้านวัดน้ำมันว่าสีขุ่นดำหรือกลิ่นเหม็นไหม จากนั้นนำรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่ที่มีเครื่องมือมาตรฐานเพื่อระบายน้ำมันเก่า เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องพร้อมกัน และเติมน้ำมันเกรดที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ หลังเปลี่ยนให้รีเซตไฟเตือนหรือบันทึกไมล์เพื่อติดตาม และเช็กระดับทุกเดือนเพื่อป้องกันปัญหา
อย่าเลี้ยงคลัตช์ (สำหรับเกียร์ธรรมดา)
เมื่อหยุดรถหรือรถติด ให้เหยียบคลัตช์สุดและเข้าเกียร์ว่าง (N) ทันที แทนการเลี้ยงคลัตช์ครึ่งๆ เพื่อไม่ให้รถไหลหรือดับ โดยใช้มือเบรกหยุดรถ จากนั้นออกตัวให้เหยียบคลัตช์สุด เปลี่ยนเกียร์ 1 แล้วปล่อยคลัตช์เนียนๆ พร้อมเร่งคันเร่งเบาๆ จนรถเคลื่อนตัว ไม่เลี้ยงคลัตช์นานเกิน 2-3 วินาทีเพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนสะสม
ขึ้นทางชันเมื่อไร ใช้เกียร์ L
หากเจอทางชันให้เปลี่ยนจากเกียร์ D เป็น L (หรือ D2/D1 ในบางรุ่น) ก่อนถึงเนิน โดยค่อยๆ ลดความเร็วลงก่อนแล้วเข้าเกียร์ L เพื่อให้เครื่องยนต์ส่งกำลังเต็มที่โดยไม่ต้องเร่งหนัก รักษาคันเร่งเบาๆ ให้รอบเครื่องอยู่ 2,000-3,000 รอบ/นาที แต่ไม่ควรปล่อยเกียร์ L นานเกินจำเป็นบนทางราบเพราะรอบสูงเปลืองน้ำมัน
ไม่ไป/เลี่ยงเส้นทางที่รถติด
ก่อนออกเดินทาง ไม่ว่าจะด้วยรถเก๋ง หรือรถอื่นๆ วิธีแก้รถเก๋งไม่ให้กินน้ำมันที่สามารถทำตามได้ทันทีก็คือ ใช้แอป Google Maps เช็กสภาพจราจรแบบเรียลไทม์ก่อนออกเดินทาง เลือกเส้นทางโล่ง หรือเส้นทางลัดแทนเส้นหลักที่ติดบ่อย เช่น หลีกเลี่ยงถนนเพชรบุรีช่วงเย็น ออกเดินทางนอกช่วงพีค หรือเลื่อนเวลานัดหมายเพื่อเลี่ยงรถติด และรวมทริปใกล้เคียงให้เสร็จในวันเดียวลดการขับซ้ำ
แต่งรถหรือติดอุปกรณ์เสริมแต่พอดี
ใครที่ชื่นชอบการแต่งรถแต่อยากประหยัดน้ำมัน ควรเลือกอุปกรณ์ที่จำเป็นจริงๆ เช่น ล้อแม็กน้ำหนักเบา ยาง Eco Tire หรือสปอยเลอร์แอโรไดนามิกที่ลดแรงต้านลม แทนการติดของหนักๆ อย่างหลังคากั้นของหรือสเกิร์ตใหญ่ที่เพิ่มน้ำหนักและลมต้าน หลีกเลี่ยงกล่องประหยัดน้ำมันหรือชิปเสริมที่ไม่ผ่านมาตรฐาน เพราะส่วนใหญ่ไม่ช่วยจริงและอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหาย รวมถึงถอดอุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้ เช่น จักรยานบนหลังคา หรือของตกแต่งท้ายรถ เพื่อลดน้ำหนักรวมไม่เกิน 50 กก. และเช็กให้ระบบช่วงล่างสมดุล
ลองใช้เทคโนโลยีประหยัดน้ำมัน
เทคโนโลยีประหยัดน้ำมัน สามารถเปิดใช้งาน Cruise Control บนทางตรงเพื่อรักษาความเร็วคงที่ ลดการเหยียบคันเร่งบ่อย หรือ Eco Mode ในรถที่ปรับการตอบสนองเครื่องยนต์ให้ประหยัด สำหรับรถไฮบริดให้ขับในโหมด EV เมื่อเป็นไปได้เพื่อใช้พลังงานไฟฟ้าล้วน และชาร์จแบตเตอรี่จากเบรก ติดตั้ง OBD-II Scanner เชื่อมแอปมือถือเพื่อติดตามอัตราสิ้นเปลืองเรียลไทม์และปรับพฤติกรรมขับขี่ทันที
เมื่อถึงจุดหมาย ดับเครื่องทันที
เมื่อถึงที่หมายให้ดับเครื่องทันที โดยดึงเบรกมือหรือเหยียบเบรกสุดเพื่อป้องกันรถไหล สำหรับรถที่มีระบบ Idle Stop/Start (ISS) ระบบจะดับเครื่องอัตโนมัติเมื่อหยุดนิ่ง ให้เปิดใช้งานเพื่อประหยัดเพิ่ม หากไม่มีให้ฝึกดับเองและใช้พัดลมหรือหน้าต่างแทนแอร์ หลีกเลี่ยงการสตาร์ตรถทิ้งไว้เพื่ออุ่นเครื่อง
ติดฟิล์มรถยนต์ กับ SPMS-EST ดีกว่าอย่างไร
หากต้องการติดฟิล์มที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งกันแดด ลดรอยขีดข่วน และคงความเงางามของรถ การเลือกติดตั้งกับร้านที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก 3M คือทางเลือกที่เชื่อถือได้ที่สุด คุณสามารถเลือกศูนย์บริการที่ได้มาตรฐานซึ่งมีทั่วประเทศ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกฟิล์มที่ตรงใจที่สุด และตรวจสอบ 3M ติดฟิล์ม สาขาใกล้บ้านได้ผ่านเว็บไซต์ SPMS-EST.com
สรุป
ปัญหารถกินน้ำมัน มักเกิดจากลมยางอ่อน ไส้กรองอากาศ/น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ หรือพฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่เหมาะสม เช่น การเร่งเบรกกะทันหัน เพื่อประหยัดน้ำมัน ผู้ขับขี่ควรหมั่นเช็กลมยางและสภาพเครื่องยนต์ เสมอ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะ และ ขับขี่ในความเร็วคงที่ประมาณ 70-90 กม./ชม. หลีกเลี่ยงการเหยียบเบรกบ่อย การออกตัวแรง และการเปิดแอร์เย็นจัด นอกจากนี้ เมื่อรถติดนานให้เข้าเกียร์ว่าง (N) หรือดับเครื่องทันที พร้อมขนสัมภาระเท่าที่จำเป็นและวางแผนเส้นทางเพื่อเลี่ยงรถติด
ปีใหม่นี้เที่ยวอย่างไร้กังวล นอกจากรู้วิธีแก้รถเก๋งกินน้ำมันแล้ว การเลือกติดฟิล์มกรองแสงจากร้านที่ได้รับการรับมาตรฐาน 3M อย่าง SPMS-EST จะช่วยให้การขับขี่ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลแค่ไหนก็ปลอดภัยจากแสงแดด รังสียูวี รวมถึงได้ติดตั้งกับช่างมืออาชีพและมีบริการหลังการขายที่ไว้วางใจ
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
มาดูคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีขับรถให้ประหยัดน้ำมัน พร้อมคำตอบที่น่าสนใจกัน
วิธีเช็กอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันคำนวณอย่างไร
คำนวณด้วยสูตร ระยะทางทั้งหมด (กม.) ÷ ปริมาณน้ำมันที่เติม (ลิตร) เช่น ขับ 500 กม. เติม 30 ลิตร = 500 ÷ 30 = 16.7 กม./ลิตร. ทำซ้ำหลายครั้งเพื่อค่าเฉลี่ยแม่นยำ โดยรีเซต Trip Meter ทุกครั้งและใช้เส้นทางปกติมากกว่า 100 กม.
เติมน้ำมัน 1,000 บาท สามารถวิ่งได้กี่กิโลเมตร
ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันต่อลิตรและอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันของรถคุณ โดยคำนวณจากปริมาณลิตร = 1,000 ÷ ราคาต่อลิตร แล้วกิโลเมตร = ลิตร × อัตราสิ้นเปลือง (กม./ลิตร) เช่น แก๊สโซฮอล์ 95 ราคา 31.85 บ./ลิตร ได้ลิตร 31.4 ลิตร ถ้ารถกิน 15 กม./ลิตร = 471 กม.. รถเก๋งทั่วไปในเมือง 10-15 กม./ลิตร (300-470 กม.) ไฮบริด 20-25 กม./ลิตร (600-800 กม.) กระบะ 8-12 กม./ลิตร (250-380 กม.)
ขับรถแบบไหนประหยัดน้ำมันมากที่สุด
รักษาความเร็วสม่ำเสมอโดยใช้ Cruise Control บนทางตรง หลีกเลี่ยงเร่ง-เบรกกระชาก และคาดการณ์จราจรล่วงหน้าเพื่อชะลอแทนเหยียบเบรก
