สัญลักษณ์หน้าปัดรถบอกอะไรบ้าง รวมไฟเตือนที่ต้องรู้ไว้ ปลอดภัยกว่า

สัญลักษณ์หน้าปัดรถบอกอะไรบ้าง รวมไฟเตือนที่ต้องรู้ไว้ ปลอดภัยกว่า

คนรักรถควรรู้!

  • ไฟแต่ละสีบนหน้าปัดรถยนต์มีความหมายที่แตกต่างกัน สีแดงบอกถึงปัญหาที่จำเป็นต้องหยุดรถและเช็กทันที สีเหลืองหมายถึงพบความผิดปกติแต่สามารถขับต่อได้ และสีน้ำเงินหรือสีเขียวหมายถึงระบบ/สถานะอุปกรณ์ที่กำลังใช้งานอยู่
  • ความหมายของสัญลักษณ์หน้าปัดรถที่พบบ่อย เช่น เครื่องหมายตกใจในรถหมายถึงเบรกมือหรือระบบเบรกค้างหรือน้ำมันเบรกต่ำ สัญลักษณ์เข็มขัดนิรภัยหมายถึงผู้โดยสารไม่คาดเข็มขัด สัญลักษณ์ไฟเลี้ยวซ้าย/ขวาจะกะพริบเมื่อเปิดไฟเลี้ยวหรือกะพริบฉุกเฉิน
  • รถขึ้นเครื่องหมายตกใจ แปลว่าระดับน้ำมันเบรกต่ำ หรือผู้ขับยังไม่ปลดเบรกมือจึงมีการแจ้งเตือนเป็นสีแดง หากปลดเบรกมือแล้วไฟยังไม่ดับ ควรนำรถเข้าตรวจเช็กทันที
  • วิธีรับมือเมื่อรถขึ้นไฟเตือนที่หน้าปัด ควรเริ่มจากจอดรถในที่ปลอดภัย เช็กสภาพรถอย่างละเอียด ตรวจเบรกมือและน้ำมันเบรก รวมถึงระดับน้ำมัน แบตเตอรี่ ลมยาง ถ้าเช็กแล้วยังไม่สามารถแก้ไขได้ ให้นำรถเข้าศูนย์ทันที

การขับขี่รถยนต์ในทุกวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ควบคุมพวงมาลัยและคันเร่งเท่านั้น แต่ยังต้องใส่ใจสัญลักษณ์และไฟเตือนที่ปรากฏบนหน้าปัดรถอีกด้วย เพราะสัญลักษณ์เหล่านี้เป็นเหมือนสัญญาณแจ้งเตือนสถานะของรถ ว่ามีส่วนใดที่ต้องตรวจสอบหรือควรได้รับการซ่อม เพื่อป้องกันอุบัติเหตุหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ บทความนี้จะอธิบายสัญลักษณ์หน้าปัดรถที่คนรักรถควรรู้ โดยเฉพาะเครื่องหมายตกใจที่หลายคนอาจยังไม่รู้ความหมาย พร้อมวิธีรับมือเพื่อความปลอดภัย

สัญลักษณ์หน้าปัดรถคืออะไร แต่ละสีหมายถึงอะไรบ้าง

สัญลักษณ์หน้าปัดรถคืออะไร แต่ละสีหมายถึงอะไรบ้าง

หน้าปัดรถยนต์คือแผงแสดงข้อมูลและสัญญาณเตือนที่รวบรวมสถานะการทำงานของรถ บอกปัญหาหรือการใช้งานระบบต่างๆ แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้ขับขี่ตัดสินใจได้ทันท่วงทีเพื่อความปลอดภัย หน้าที่หลักคือแจ้งระดับน้ำมัน ความเร็ว อุณหภูมิเครื่องยนต์ และไฟเตือนผิดปกติ ป้องกันอุบัติเหตุจากระบบขัดข้อง เช่น เบรกหรือเครื่องยนต์ร้อนเกิน ความสำคัญอยู่ที่ช่วยยืดอายุรถ ลดค่าใช้จ่ายซ่อม และเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่

ไฟแต่ละสีบนหน้าปัดรถยนต์บอกอะไร

เมื่อสังเกตเห็นไฟขึ้นในสัญลักษณ์บนหน้าปัดรถยนต์ ในแต่ละสีบอกสถานะของรถยนต์ที่แตกต่างกัน มาดูกันว่าแต่ละสีบอกอะไรบ้าง?

  • สีเขียว/สีน้ำเงิน แจ้งระบบกำลังใช้งานปกติ เช่น ไฟเลี้ยวหรือตัดหมอก สามารถปิดเมื่อไม่ใช้
  • สีเหลือง ผิดปกติแต่ขับต่อได้ ควรรีบตรวจ เช่น น้ำมันต่ำหรือยางอ่อน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาลุกลาม
  • สีแดง ปัญหารุนแรง ต้องหยุดรถตรวจสอบทันที เช่น เบรกมือค้างหรือเครื่องยนต์ร้อน เพื่อป้องกันความเสียหายใหญ่

รวมสัญลักษณ์บนหน้าปัดรถที่พบบ่อย พร้อมความหมาย

มาดูกันว่าสัญลักษณ์หน้าปัดรถแต่ละแบบบอกอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายตกใจในรถ และเครื่องหมายอื่นๆ ดังนี้

ไฟเตือนสีแดง — ต้องหยุดรถหรือแก้ไขทันที

ไฟเตือนสีแดง — ต้องหยุดรถหรือแก้ไขทันที

  1. เบรกมือหรือระบบเบรก เบรกมือค้างหรือน้ำมันเบรกต่ำ รถจะขึ้นเครืองหมายตกใจต้องปลดเบรกมือหรือเติมน้ำมันเบรกทันที มิเช่นนั้นเบรกอาจไหม้หรือล้มเหลว
  2. เครื่องยนต์ร้อน (เทอร์โมมิเตอร์) หม้อน้ำร้อนเกินหรือพัดลมระบายความร้อนขัดข้อง จอดรถดับเครื่องรอให้เย็นก่อน
  3. น้ำมันเครื่องต่ำ (กาน้ำมัน) ระดับน้ำมันเครื่องต่ำหรือรั่ว ตรวจระดับและเติมทันทีเพื่อป้องกันเครื่องพัง
  4. ABS (ระบบป้องกันล้อล็อก) ระบบ ABS ผิดปกติ เบรกอาจลื่นไถลในทางเปียก ควบคุมรถอย่างระวัง
  5. ถุงลมนิรภัย (Airbag) ระบบถุงลมขัดข้อง อาจไม่ทำงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ต้องตรวจด่วน
  6. แบตเตอรี่ ระบบชาร์จไฟหรือสายพานไดชาร์จขาด ปิดไฟฟ้าไม่จำเป็นและนำรถเข้าศูนย์
  7. เครื่องยนต์ (Check Engine) ปัญหาเซนเซอร์หรือระบบไอเสีย ลดความเร็วและนำเข้าศูนย์ทันที
ไฟเตือนสีเหลือง — รถมีปัญหาบางอย่าง แต่ขับต่อได้

ไฟเตือนสีเหลือง — รถมีปัญหาบางอย่าง แต่ขับต่อได้

  1. เครื่องยนต์ (Check Engine) ระบบเครื่องยนต์หรือเซนเซอร์มีปัญหา เช่น ออกซิเจนเซนเซอร์หรือหัวเทียน ลดความเร็วและนำเข้าศูนย์ตรวจ
  2. น้ำมันเชื้อเพลิงต่ำ ระดับน้ำมันใกล้หมด เติมน้ำมันโดยเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงรถดับกลางทาง
  3. ลมยางอ่อน (TPMS) ความดันลมยางต่ำ ตรวจและเติมลมเพื่อรักษาการเกาะถนนและประหยัดน้ำมัน
  4. พวงมาลัยพาวเวอร์ ระบบช่วยพวงมาลัยผิดปกติ พวงมาลัยอาจหนัก ควบคุมรถระวังและตรวจด่วน
  5. กรองอากาศเครื่องยนต์ กรองสกปรกหรืออุดตัน เปลี่ยนกรองเพื่อให้เครื่องทำงานปกติ
  6. ระบบไอเสีย (DPF) ตัวกรองอนุภาคดีเซลเต็ม ต้องขับด้วยความเร็วคงที่เพื่อเผาไหม้หรือนำเข้าศูนย์
  7. เข็มขัดนิรภัย ผู้โดยสารไม่คาดเข็มขัด ควรคาดให้ครบทุกคนเพื่อความปลอดภัย
ไฟเตือนสีเขียว/น้ำเงิน — บอกสถานะอุปกรณ์ที่กำลังใช้งานอยู่

ไฟเตือนสีเขียว/น้ำเงิน — บอกสถานะอุปกรณ์ที่กำลังใช้งานอยู่

  1. ไฟเลี้ยวซ้าย/ขวา กะพริบเมื่อเปิดไฟเลี้ยวหรือกะพริบฉุกเฉิน แสดงทิศทางหรือขอทาง สามารถปิดเมื่อเลี้ยวเสร็จ
  2. ไฟตัดหมอกหน้า เปิดใช้งานเมื่อทัศนวิสัยต่ำจากหมอกหรือฝนหนัก ช่วยส่องสว่างไกล ปิดเมื่อสภาพอากาศดี
  3. ไฟสูง (High Beam) เปิดไฟหน้าแบบส่องไกลตอนกลางคืนหรือถนนมืด ใช้ห่างจากรถคันอื่นเพื่อไม่ให้แสบตา
  4. ไฟด้านข้าง (Parking Lights) เปิดไฟข้างรถหรือไฟในห้องโดยสารตอนกลางคืนหรือจอด ช่วยให้มองเห็นรถได้ชัด
  5. ที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ทำงานเมื่อเซนเซอร์ตรวจจับฝน ปรับความเร็วตามปริมาณฝน ผู้ขับควบคุมได้
  6. ระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง เปิดเพื่อลดฝ้าหรือน้ำค้างบนกระจกหลัง ปิดเมื่อกระจกใสเพื่อประหยัดพลังงาน
  7. ไฟตัดหมอกหลัง ใช้งานในฝนหนักหรือหมอกเพื่อให้รถคันหลังเห็น ปิดเมื่อสภาพปกติ
ไฟเตือนหน้าปัดรถขึ้นรับมืออย่างไร รู้ไว้ไม่ตกใจ

ไฟเตือนหน้าปัดรถขึ้นรับมืออย่างไร รู้ไว้ไม่ตกใจ

วิธีเช็กเบื้องต้นด้วยตนเอง

  1. จอดรถในที่ปลอดภัย ชะลอความเร็ว หาที่จอดข้างทางหรือลานกว้าง เปิดไฟฉุกเฉินเพื่อเตือนรถคันอื่น ก่อนลงจากรถมาเช็ก
  2. ดูสีและตำแหน่งไฟ ถ้าสัญลักษณ์หน้าปัดรถขึ้นสีแดงหยุดทันที สีเหลืองตรวจสอบเร็ว สีเขียวคือใช้งานปกติ จดบันทึกสัญลักษณ์เพื่อแจ้งช่าง
  3. ตรวจเบรกมือและน้ำมันเบรก ดึงคันเบรกมือดูว่าปลดสนิท เปิดฝากระโปรงเช็กระดับน้ำมันเบรกในถัง หากต่ำเติมให้ถึงขีด แต่ไม่ขับต่อหากผิดปกติ
  4. เช็กระดับน้ำมันเครื่องและน้ำหล่อเย็น ใช้ที่วัดน้ำมันเครื่องดึงดูระดับ หากต่ำเติมน้ำมันเกรดที่ถูกต้อง ตรวจน้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำ รอเครื่องเย็นก่อนเปิด​
  5. ตรวจแบตเตอรี่และสายพาน ปิดไฟฟ้าไม่จำเป็น เช็กสายพานไดชาร์จไม่หลวมหรือขาด หากรถสตาร์ตไม่ติด ให้ใช้จั๊มสตาร์ตหรือเรียกรถลาก
  6. ตรวจเช็กลมยางและฝาถังน้ำมัน กดดูความดันลมยาง หากลมอ่อนให้เติมให้พอดี ปิดฝาถังน้ำมันให้สนิท แล้วสตาร์ตรถเพื่อตรวจว่าไฟ Check Engine ดับหรือไม่
  7. นำเข้าศูนย์หากแก้ไม่ได้ ใช้ OBD Scanner ถ้ามี หรือโทรศูนย์บริการ/ประกันภัย อย่าฝืนขับเพื่อป้องกันความเสียหายใหญ่

ข้อควรรู้ ป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ

  • ตรวจเช็กระดับน้ำมันและของเหลวทุกสัปดาห์ เช็กน้ำมันเครื่อง น้ำหล่อเย็น น้ำมันเบรก และน้ำมันพวงมาลัย เติมให้ถึงขีดปกติเพื่อป้องกันไฟกาน้ำมันหรือเครื่องร้อน
  • เช็กลมยางและเปลี่ยนตามรอบ วัดความดันลมยางเดือนละครั้ง เปลี่ยนยางตามระยะ 50,000-60,000 กม. ป้องกันไฟ TPMS และเพิ่มความปลอดภัย
  • เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและกรองตามคู่มือ ทุก 5,000-10,000 กม. หรือ 6 เดือน ใช้เกรดที่แนะนำ ลดปัญหา Check Engine จากน้ำมันสกปรก
  • ตรวจแบตเตอรี่และสายพานทุก 6 เดือน ทดสอบแรงดันไฟ ปิดไฟฟ้าไม่ใช้เมื่อดับเครื่อง เปลี่ยนแบตทุก 2-3 ปี ป้องกันไฟแบตเตอรี่
  • ทำ Big Service ตามกำหนด ทุก 10,000 กม. หรือปีละครั้ง ตรวจระบบเบรก ABS ถุงลม และเซนเซอร์ เพื่อจับปัญหาก่อนไฟแดงขึ้น
  • ขับขี่เหมาะสมหลีกเลี่ยงโอเวอร์โหลด รักษาความเร็วคงที่ หลีกเลี่ยงเหยียบคันเร่งหนักหรือบรรทุกเกิน ป้องกันเครื่องร้อนและ DPF อุดตัน
  • อ่านคู่มือรถและใช้แอป OBD ศึกษาสัญลักษณ์แต่ละรุ่น ถ้ามีเครื่องสแกน OBD เช็กรหัสปัญหาเอง ลดการเกิดซ้ำจากเซนเซอร์

ติดฟิล์มรถยนต์ กับ SPMS-EST ดีกว่าอย่างไร

การติดฟิล์มรถยนต์ ควรเลือกแบรนด์ที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานได้รับการรับรองจาก 3M เพื่อรับประสิทธิภาพการป้องกันรังสี UV จริงและตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย ขับขี่ปลอดภัยสบายตา สำหรับใครที่มองหาฟิล์มคุณภาพดี เราแนะนำให้ติดกับร้านตัวแทนจำหน่ายของ 3M ที่มีทุกที่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด เพื่อให้คุณได้ฟิล์มติดรถยนต์ที่ตอบโจทย์ตรงตามการใช้งานจริงมากที่สุด และสะดวกรวดเร็ว สามารถสอบถามผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกฟิล์มที่เหมาะกับคุณมากที่สุด และเลือกได้อย่างมั่นใจมากขึ้น โดยสามารถเช็กสาขาใกล้บ้านได้ที่ 3M ติดฟิล์ม จากเว็บไซต์หลักของ SPMS-EST.com

สรุป

สัญลักษณ์หน้าปัดรถยนต์เป็นตัวที่แสดงถึงสถานะการทำงานแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ผู้ขับขี่ตัดสินใจได้ทันท่วงที โดยสีของไฟเตือนมีความหมายต่างกัน ได้แก่ สีแดงควรหยุดรถทันที สีเหลืองบอกความผิดปกติแต่ยังขับต่อได้ และสีเขียว/น้ำเงินหมายถึงระบบที่ใช้งานได้ปกติ ดังนั้น การสังเกตและไม่มองข้ามสัญลักษณ์เหล่านี้อย่างถูกต้อง เช่น จอดรถเมื่อเจอไฟแดง ตรวจสอบเบื้องต้นเมื่อเจอไฟเหลือง และนำรถเข้าศูนย์หากแก้ไขไม่ได้ จะเป็นการช่วยยืดอายุรถ ลดค่าซ่อม และเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้เป็นอย่างดี

การเลือกติดฟิล์มที่มีคุณภาพ นอกจากช่วยทำให้เกิดความร้อนสะสมภายในรถน้อยลงแล้ว ยังทำให้การขับขี่สบายตามากขึ้น ทัศนวิสัยการขับขี่ดีขึ้น การเลือกติดฟิล์มที่มีคุณภาพและติดกับร้านที่ได้รับมาตรฐานจาก 3M จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรเลือกเพื่อรถของคุณ โดย SPMS-EST จะช่วยให้คุณมั่นใจในคุณภาพและการติดตั้งจากช่างมืออาชีพ ทำให้ได้ฟิล์มที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับการใช้งานและยังมาพร้อมกับบริการหลังการขายที่เชื่อถือได้

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถเป็นสิ่งที่ควรสังเกตอย่างสม่ำเสมอ แต่บางครั้งก็อาจมีข้อสงสัยอยู่ วันนี้เราได้เตรียมคำถามที่พบบ่อยและคำตอบที่น่าสนใจมาฝากกัน!

ไฟรูปเครื่องยนต์โชว์ ขับต่อได้ไหม

สามารถวิ่งต่อได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ความเร็วสูง เพราะรถบางรุ่นจะเข้าสู่โหมดสำรองและจำกัดรอบเครื่องไว้ที่ประมาณ 1,500–2,000 รอบต่อนาที เพื่อให้ผู้ขับขี่ประคองรถไปยังจุดปลอดภัยหรือขับต่อไปยังอู่เพื่อทำการตรวจเช็กได้อย่างไม่เสี่ยง

ไฟเตือนความดันน้ำมันหล่อลื่นกะพริบขึ้น เกิดจากสาเหตุใด

มาจากแรงดันน้ำมันเครื่องต่ำ อาจทำให้เครื่องยนต์เกิดความเสียหายรุนแรง หากเกิดอาการนี้ ไฟเตือนแรงดันน้ำมันเครื่องบนหน้าปัดมักจะกะพริบเป็นสัญญาณแรก และอาจส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์หากยังขับต่อไป

หน้าปัดรถยนต์บอกอะไรบ้าง

หน้าปัดรถยนต์จะแสดงข้อมูลหลักของรถ เช่น ความเร็ว รอบเครื่องยนต์ ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง และอุณหภูมิเครื่องยนต์ รวมถึงไฟสัญญาณต่างๆ ที่บอกสถานะการทำงานและคำเตือนของระบบในรถ เช่น ระบบเบรก เครื่องยนต์ แบตเตอรี่ หรือระบบความปลอดภัย

แชร์บทความนี้